วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กชายหาปลาแห่งสาละวิน”
สุมาตร ภูลายยาว

หาดทรายสีน้ำตาลทอดยาวไปตามริมฝั่งลำน้ำ เป็นเสมือนการเริ่มต้นบทละครแห่งการจากพรากของฤดูกาล สายน้ำเชี่ยวยิ่งกว่าหน้าฝนที่ผ่านมา ไอหมอกระรื่อระบายสีขาวเหนือสายน้ำ เสียงไม้พายเรือตกกระทบกับสายน้ำจากแรงคนดังมาแผ่วเบา ความหนาวเย็นไม่จางหายไปจากยามเช้าของฤดูหนาว แต่ในความหนาวเย็นนั้นมันกลับปลุกห้วงหัวใจของคนบางคนให้ตื่นขึ้นมา
ปรีชาเด็กชายวัย ๑๑ ขวบกำลังอยู่บนเรือลำนั้น ซึ่งขณะนี้มันค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนสายน้ำด้วยความเชื่องช้า ด้วยแรงพายที่มีเพียงน้อยนิดของปรีชา เรือจึงไม่สามารถที่จะไปได้เร็วกว่านี้ บนเรือลำนั้นนอกจากจะมีปรีชาแล้วยังมีอเนกเด็กชายวัยใกล้เคียงกันกับปรีชา ทั้งสองคนกำลังเดินทางออกสู่สายน้ำแห่งพรมแดนที่พวกเขาคุ้นเคย
แม้ว่าจะหนาวเหน็บอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายทั้งสองจะคุ้นชินกับความหนาวเย็นนั้น อาจเป็นเพราะทั้งสองเกิดในหมู่บ้านริมฝั่งน้ำ พวกเขาจึงคุ้นชินกับสายน้ำที่เก็บความหนาวเย็นของมันเอาไว้ตลอดเวลา
จุดหมายปลายทางของอเนกและปรีชาอยู่ตรงแก่งหินที่ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำข้างหน้า ที่ตรงนั้นมันมีจา (อวน) ดักปลารอพวกเขาอยู่ การเริ่มต้นของการเป็นคนหาปลาของทั้งสองคนในวันที่ความหนาวมาเยือนจึงเกิดขึ้นในวันนี้
เรือลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายของมันอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหมายตรงที่มีเครื่องมาหาปลาของพวกเขารออยู่ อเนกก็กลายมาเป็นนายท้ายเรือไปโดยปริยาย ส่วนปรีชาเป็นคนที่ต้องทำหน้าที่ของพรานปลาผู้จะต้องนำปลาที่ติดอยู่ในอวนดักปลาของเขาขึ้นมาจากน้ำ
ในยามที่สายน้ำยังคงไหลเอื่อยไปอย่างช้าๆ ชั่วขณะแห่งการเดินทางของเรือกับคนออกจากท่าสู่แม่น้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของทั้งสองคนคิดอะไรอยู่ พวกเขาคิดถึง ความสุข, ความทุกข์,ความเศร้า,หรือแม้แต่ดีใจ,เสียใจ การแสดงออกซึ่งอาการเหล่านั้นบางครั้งมันไม่ได้แสงดออกมาทางร่างกาย แต่มันกับถูกเก็บงำไว้ภายใต้ความเยาว์ของพวกเขา
ปรีชายกปลาตัวหนึ่งที่เพิ่งปลอดออกมาจากตาข่ายส่งมาให้อเนกซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ท้ายเรือ ปลาสีดำตัวนั้นแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มันก็คงสร้างความดีใจแห่งกับทั้งสองได้พอสมควร เพราะว่าตอนนี้บนฝั่งมีคนรอซื้อปลาจากพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว ในห้วงยามอย่างนี้ปรีชาและอเนกคงคิดถึงขนมหลากสี ซึ่งกำลังจะได้มาจากการแลกเปลี่ยนด้วยปลาตัวนี้ หรือว่าบางทีพวกเขาอาจไม่ได้คิดถึงขนมหลากสี แล้วพวกเขาจะคิดถึงอะไรกันเล่า.......
ทั้งสองคนอาจจะไม่รู้จักไก่ทอด KFC และอาหารจานด่วนสีสันหลากตาหรือแม้แต่สุกี้รสเลิศ แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้ว่า ในยามใดต้องหาปลาด้วยวิธีการอย่างไร และปลาที่ได้เป็นปลาชนิดไหน ทำอาหารอะไรอร่อย แน่นอนพวกเขาย่อมรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะพวกเขาเป็นคนหาปลานั่นเอง
ชีวิตของปรีชาและอเนกไม่ใช่เรื่องราวที่เด็กคนอื่นหรือแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนจะจับต้องไม่ได้ เพราะเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องราวชีวิตของคนที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านริมแม่น้ำ ซึ่งยังคงหลงใหลอยู่กับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีสายน้ำเป็นแม่ และมีภูเขา ป่าไม้เป็นพ่อ หากเปิดดวงตาก็จะมองเห็น หากเปิดหัวใจเรื่องราวของพวกเขาก็จะพุ่งทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจได้ไม่ยาก
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แสงแดดของยามเช้าเริ่มส่องประกายเล็ดลอดไอหมอกออกมา เรือและคนหาปลาก็เริ่มเดินทางกลับมายังฝั่งอีกครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ปลุกดวงใจน้อยๆ ของทั้งสองให้ตื่นขึ้นมารับกับยามเช้าที่สดใสอีกหนึ่งวัน แต่พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้ว่า ร้อยยิ้มแบบนี้จะกลับมาอีกหือเปล่า เพราะปลาใช่ว่าจะหาได้ทุกวัน การออกเรือไปหาปลาก็เหมือนกับการฝากชีวิตไว้กับการเสี่ยงโชค เพราะปลามันว่ายวนเวียนอยู่ในแม่น้ำซึ่งกว้างใหญ่ ถ้าวันไหนได้ปลาก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ปลาก็ต้องบอกว่า พรุ่งนี้เอาใหม่นั่นเอง
“ผมหาปลาอยู่ริมฝั่งใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เพราะถ้าเป็นฝั่งโน้น (พม่า) น้ำแรงไม่กล้าไป แต่ถ้าไปกับพ่อไปอยู่ วันนี้ได้ปลาด้วย ตอนเย็นก็ต้องได้อีก” ปรีชาบอกกับคนที่เฝ้ารอซื้อปลาจากเขาที่อยู่บนฝั่งด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น ก่อนที่เขาจะยิ้มเริงร่าอวดฟันหลอหลายซี่ของตัวเอง

ตีพิมพ์ครั้งแรก เสาร์สวัสดี ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๘

ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กชาย-สายน้ำ-วัยเยาว์”
สุมาตร ภูลายยาว

ข้าพเจ้านั่งนิ่งคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อยทั้งมีสาระ-ไร้สาระ ขณะสายตาเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้า ข้างหน้านั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งปรากฏอยู่ ตะวันบ่ายคล้อยลงไปแล้ว ต้นเสี้ยวริมฝั่งน้ำทอดเงาขนานไปกับบันไดทางลงไปสู่แม่น้ำ เสียงเด็กดังขึ้นมาจากสายน้ำทำให้ต้องหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ลง ข้าพเจ้ามองไปยังที่มาของเสียง แล้วจึงพบว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของเด็กชายสองคน ขณะเฝ้ามองเด็กทั้งสองเริงร่าอยู่ในสายน้ำ ข้าพเจ้าก็หวนระลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ของตัวเอง...
ทุกครั้งที่หวนระลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ เหมือนว่าเรื่องราวเหล่านั้นได้พาเราเดินทางไปสู่หน้าสมุดบันทึกที่เก็บงำเรื่องราวต่างๆ ไว้ในลิ้นชักของความทรงจำ ในวัยเยาว์ข้าพเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายทั้งสองคนในขณะนี้
เด็กชายผู้เป็นเงาร่างของวัยเยาว์ บ่ายคล้อยหลังเลิกเรียน ทั้งสองมักมุ่งหน้าสู่แม่น้ำ เมื่อมาถึงท่าน้ำทั้งสองก็เดินลงไปตามขั้นบันได หน้าแล้งน้ำในแม่น้ำใหญ่ลดระดับลง บันไดทุกขั้นอันเป็นทางลงไปสู่แม่น้ำจึงโผล่พ้นน้ำ ขณะทั้งสองค่อยๆ ก้าวเดินไปตามขั้นบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้าระมัดระวังนั้น ความจริงแล้ว บันไดแต่ละขั้นหากไม่เปรียบเปรยจนเกินเลยนัก มันก็คือการก้าวเดินไปสู่ช่วงวัยของคนเรานั่นเอง ถัดจากเด็กทั้งสองไปมีสุนัขพันทางสีดำตัวหนึ่ง บัดนี้มันกำลังเดินตามทั้งสองลงมาอย่างเงียบเชียบ...สุนัขตัวนั้นบางทีเจ้าของมันอาจเป็นคนใดคนหนึ่งในสองคน
เย็นย่ำอาทิตย์เริ่มคลี่คลายผ่อนแสง แดดผีตากผ้าอ้อมบนฉากฟ้าตะวันตกใกล้จางหายไป ในที่ไกลออกไปจากทั้งสอง บนท้องน้ำอันแคบหดสั้นลงในหน้าแล้ง ขบวนเรือแข่งรอบชิงชนะเลิศประเภทเรือยาว ๒๐ ฝีพายกำลังจะออกจากจุดเริ่มต้น ฝีพายแต่ละคนต่างจ้วงพายเป็นจังหวะตามที่ซ้อมกันมา เรือพุ่งไปข้างหน้าตามแรงพาย เสียงกองเชียร์ดังไปทั่วท้องน้ำ ว่ากันว่านี่คือวิถีหนึ่งของคนกับน้ำที่ไม่เคยแยกขาดจากกันอย่างถาวร
เมื่อทั้งสองเดินลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพียงเท้าแรกสัมผัสกับน้ำ รอยยิ้มละไมก็ปรากฏขึ้นมา เติ้ลชักเท้ากลับอย่างรวดเร็วเมื่อเท้าข้างขาวสัมผัสน้ำเพียงนิดเดียว เพราะแม้จะเป็นหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำยังดำรงไว้ซึ่งความเย็นไม่ต่างจากหน้าหนาว ไม่นานนักพอทั้งสองลงว่ายเล่นในน้ำจนคุ้นชินแล้ว สุนัขสีดำตัวนั้นถูกกอดรัด และบังคับขู่เข็ญกึ่งจูง กึ่งลากให้ลงสู่แม่น้ำ สุนัขพยายามดิ้นรนมากเท่าใด มันก็ยิ่งโดนรัดรึงด้วยมือทั้งสี่มากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดทั้งสุนัขและคนก็ลงไปลอยคออยู่ในน้ำ
ผู้ใหญ่บางคนเคยบอกเอาไว้ว่า เด็กเชียงของเกิดกับแม่น้ำของ--โขงต้องรู้จักแม่น้ำสายนี้ไม่มากก็น้อย ในหนึ่งครั้งของชีวิตต้องได้กระโจนลงไปแหวกว่ายในแม่น้ำสายนี้ การได้ลงแหวกว่ายในแม่น้ำจึงว่าถือเป็นการเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ในการเป็นลูกน้ำของ
เสียงน้ำกระเพื่อมจากแรงตีของเด็กชายทั้งสองดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่า บางครั้งทั้งสองก็ดำผุดดำว่ายวนเวียนกลับไป-กลับมาระหว่างแม่น้ำกับริมตลิ่ง เนิ่นนาน...เด็กทั้งสองจะขึ้นมายืนบนริมตลิ่งแล้วเฝ้ามองเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปบนสายน้ำ
ในบางเรื่องราวของแม่น้ำ เด็กๆ อย่างทั้งสองอาจไม่เข้าใจมันมากนัก แต่เพราะความเยาว์พวกเขาได้ถูกปล่อยให้เรียนรู้เรื่องราวของแม่น้ำด้วยตัวเอง แม่น้ำได้หล่อหลอม และขัดเกลาเด็กชายแห่งสายน้ำทั้งสองให้กล้าแกร่งด้วยการดำผุดดำว่ายวันแล้ววันเล่า จนกว่าหน้าแล้งจะผ่านพ้นไป...
เด็กทั้งสองกลับขึ้นมายังริมตลิ่งด้วยเสื้อผ้าเปียกปอน และค่อยๆ ขึ้นมาตามขั้นบันไดที่ทอดยาวลงไปสู่แม่น้ำ บัดนี้โรงเรียนแม่น้ำได้สอนพวกข้าพเจ้าให้เข้าใจในบทเรียนนอกตำราเรียนอันหาเรียนที่ใดไม่ได้อีกแล้วในโรงเรียน...
ว่ากันว่าแม่น้ำสายนี้คือโรงเรียนที่ไร้ครูสอน และไม่จำเป็นต้องกางหน้ากระดาษใดๆ มาจดบันทึก การจมน้ำและกลืนน้ำเข้าไป ๓-๔ อึก คือการบันทึกความทรงจำที่ยากลืมลง เช่นกัน ในวัยเด็ก ข้าพเจ้าเคยจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำลึก ครั้งนั้นแทบเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ แต่บทเรียนในครั้งนั้นก็สอนให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า แม่น้ำอันตรายเสมอสำหรับเรา และถ้าเราน้อมกายค้อมคารวะแม่น้ำด้วยความรัก เราก็จะรู้ว่า ในการเดินทางไปสู่ความทรงจำที่กล่าวมานั้น เราล้วนอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการเป็นอยู่และการจากไป...
หน้าแล้งสายน้ำของยังคงไหลหล่อเลี้ยงผู้คนเช่นหลายร้อยปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันผู้คนก็ได้เข้าใจสายน้ำมาแล้วหลายชั่วอายุคนเช่นกัน
บางคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า แม่น้ำจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อแม่น้ำโกรธเกรี้ยว นั้นคงไม่ผิดปาบนักที่จะกล่าวเช่นนั้น เพราะเมื่อหน้าฝนมาเยือน สายน้ำจะโถมทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อการไหลอย่างอิสระ
น้ำเดินทางไกลมาให้คนได้ใช้ประโยชน์มาหลายปีดีดัก แล้วเราผู้ได้รับความเอื้ออาทรจากสายน้ำ เราได้ทำอะไรเป็นการตอบแทนสายน้ำแล้วหรือยัง...
ทีกับเติ้ลเดินขึ้นบันไดอันสูงชันทอดตัวขึ้นไปยังริมฝั่งน้ำบนแผ่นดินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าอาบอิ่มด้วยรอยยิ้ม สุนัขพันทางสีดำตัวนั้นวิ่งเหยาะๆ ตามทั้งสองขึ้นไป จุดหมายปลายทางของเรื่องเล่าในวัยเยาว์ของแต่ละคน แต่ในวันนี้ทีกับเติ้ลได้ร่วมกันสร้างเรื่องเล่าของพวกข้าพเจ้าขึ้นมา เรื่องเล่าวัยเยาว์ของเด็กชายแห่งสายน้ำ
เมื่อเด็กทั้งสองเดินขึ้นไปถึงถนนและเดินลับหายจากสายตาไป ข้าพเจ้าค่อยๆ รูดม่านความคิดในวัยเยาว์ลงอย่างช้าๆ ก่อนหันหน้าสบตากับความว่างเปล่าในเงาไหวของใบไม้ริมฝั่งน้ำ
เรื่องราวของเด็กชายแห่งสายน้ำได้จบลงแล้วพร้อมๆ กับรอยทรงจำบางรอยที่เผยออกมาและเดินทางพลัดหลงไปสู่วิมานแห่งความเงียบงันอย่างช้าๆ เนิ่นนาน...
แดดผีตากผ้าอ้อมจากหายลับแนวดอยหลวงไปแล้ว สายน้ำเย็นเยียบลงกว่าเดิม เด็กชายทั้งสองกระโจนขึ้นจากน้ำ หลังดำผุดดำว่ายเนิ่นนาน เวลาแห่งการเรียนรู้สำหรับลูกชายแห่งสายน้ำของสำหรับทั้งสองในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับเรือพายในงานประเพณีแข่งเรือลำสุดท้ายเดินทางเข้าสู่เส้นชัยอย่างช้าๆ นาฏกรรมเหนือลำน้ำได้สิ้นสุดการเริงร่าลงเช่นกัน...



ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กดีแห่งนู่เจียง”
สุมาตร ภูลายยาว


ใครเล่าที่ไม่เคยคิดบ้างว่า วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปมักนำพาคนเรากลับไปสู่ความร้าวรานและความยินดีได้ในเวลาไม่ตางกัน เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบางทีขมขื่น-บางทีเจ็บลึกยิ่งกว่าการเหวี่ยงค้อนจากมือข้างหนึ่งฟาดลงพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง นั้นแหละคือความเจ็บร้าวที่เดินทางมาถึงอย่างไม่ได้ตั้งตัวและตั้งใจ
มึดาก็เช่นกัน มึดาเด็กหญิงในวัยที่ความเป็นเด็กหญิงใกล้ลาจากไป ความเจ็บร้าวของเธอมีมากกว่า –กว่าการเหวี่ยงค้อนจากมืออีกข้างหนึ่งพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่งของตัวเอง ความเจ็บร้าวของมึดาไม่อาจรักษาได้ด้วยวันเวลา แต่ความเจ็บร้าวของมึดาจำต้องรักษาด้วย.....
เรื่องราวความเจ็บร้าวของมึดาเริ่มขึ้นมาเมื่อเธอลื่มตาตื่นและส่งเสียงร้องทักทายผู้ให้กำเนิด-พร้อมๆ กับการเดินทางไกลของสายรกของเธอที่ถูกตัดขาดแล้วเก็บงำไว้ในกระบอกไม้ไผ่ได้ถูกนำไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่า-มันคือประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนบนความเชื่อของเผ่าพันธุ์
มึดาถือกำเนิดในชุมชนในป่า เรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอจึงเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของเธอ และมันไม่ใช่ความผิดของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดที่ให้เธอมากำเนิดในท้องของมารดาที่อาศัยอยู่ในผืนป่า เธอไม่เคยโทษใคร แต่บางครั้งน้ำตามันก็ไหลหลั่งออกมาเหมือนสายน้ำในถิ่นที่ให้กำเนิดของเธอไหลหลั่งในยามหน้าฝน
ในวัยเยาว์มึดาไม่เคยทุกข์กับเรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอในตอนนี้ แต่เมื่อเลยวัยเยาว์มาแล้ว ความเจ็บร้าวก็เดินทางมาสู่เธออย่างอยากที่จะผลักใสมันออกไป ความเจ็บร้าวที่ว่า
มึดาไม่ใช่ผู้สร้าง แต่หนทางแห่งชะตากรรมกลับนำมึดาไปสู่หนทางแห่งความเจ็บร้าว
มันนานมาแล้วที่เธอเคยได้ยินเรื่องราวของเธอจากปากของใครบางคน เรื่องราวนี้มันไม่สู้จะดีนัก ใครบางบอกกับมึดาว่า เธอไม่ใช่คนไทย เธอเกิดกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คนไทย ในวัยเยาว์เธอไม่เคยเข้าใจหรอกว่า คนไทยคืออะไร แต่ในความเข้าใจของเธอ-เธอคือปกากะญอ-ที่แปลว่าคน
สายน้ำยวมยังไหลเชี่ยว ดุจเดียวกันกับวันวัยของเธอที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวัยเด็กก็ก้าวเข้าสู่วัยของเด็กสาว ในเรื่องราวชีวิตที่เธอไม่ได้ลิขิต แต่เธอกับเป็นผู้เล่นกับมันอย่างอาจหาญ นานเท่าใดแล้วที่เธอเล่นกับชะตากรรมอันนี้ ๓ปีหรือว่า ๔ ปีกันแน่ แต่เรื่องราวที่เธอเล่นกับมัน-มันไม่เคยผันแปร
ในวันเด็กของปีที่ผ่านมา เธอคือคนที่ก้าวพาดวงใจของเธอกลับไปสู่ความร้าวราน บ้านที่จากมาด้วยรอยน้ำตาและมันก็อ้าแขนรอรับการกลับของรอยน้ำตาเช่นกัน วันนั้นฉันจำเรื่องราวของเธอได้ดี เธอเป็นหนึ่งในเด็กหญิง-ชายหลายคนที่ร่ำไห้ในวันเด็ก ความเยาว์ของเธอมันไม่เคยสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ก้าวตามเทคโนโลยีที่เขาบอกว่าเธอต้องเท่าทัน
ในวันเด็กปีนี้ก็เช่นกัน มันเป็นวันที่เธอได้รู้ว่า เด็กไทยต้องขยันเรียน-ขยันอ่าน-กล้าคิด-กล้าพูด แต่คำพูดเหล่านั้นมันเหมือนกับว่าเป็นปุยนุ่นบางเบาที่ลอยเคว้งไปตามสายลมแล้ง แม้เธอจะกล้าพูด-กล้าคิดเพียงใด แต่เรื่องราวที่เธอเล่าขานออกมากลับลาร้างเป็นอย่างเดิม
คำตอบของคำถามของเธอ-มันอยู่ในสายลม-สายลมที่ไขว่คว้าเอามาไม่ได้
แม้วันเด็กจะสนุกสนานอย่างไร ลึกๆ ลงไปในดวงใจดวงน้อยๆ เท่าหนึ่งกำปั้นของตัวเองของเธอมันกลับอับเฉา-เหงา-เศร้า
มึดาก้าวขึ้นมาบนเวทีแสดงของแสงสีในเวลาค่ำคืนที่ดาวตื่นเต็มฟ้า เธอนำพาดวงตาและดวงใจดวงน้อยๆ ของอีกหลายคนไปสู่ความรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ความนัยนั้นเล่า เธอต้องการป่าวประกาศให้โลกและสายน้ำที่เธอจากมาได้รับรู้ว่า บรรดาเพลงที่เธอร้องก้องฟ้าทุกเวลานั้น มันไม่มีบทเพลงใดยิ่งใหญ่เท่ากับเพลงชาติไทย แต่ไฉนเล่า พวกเขาถึงกล่าวกันว่า ผู้ให้กำเนิดเธอไม่ใช่คนไทย เธอจึงยังไม่ได้สัญชาติไทย
ลึกลงไปในดวงตาของเธอ-ลึกลงไปในสายน้ำที่ไหลล่อง สายน้ำไม่เคยแบ่งคนออกไปฝ่าย สายน้ำไม่เคยกั้นความสัมพันธ์ของกันและกันของผู้คน แต่สายน้ำได้ย้ำเตือนให้ผู้คนรักกันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปได้ให้อะไรเธอมากมาย-มากมายเสียเกินกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะเข้าถึงมัน กับวันเวลาที่ยังเหลือ จงอย่าเบื่อและสู้ต่อไป ในไม่ช้าการมาของสัญชาติไทยจะได้เป็นของเธอมึดา

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

บทกวี

ความลับของห้องหมายเลข ๓๐ และสนิมแดง

ห้องหมายเลข ๓๐ ซอย ๑๖ วันที่ ๑๔
วันที่ใบมะขามเริงระบำ,ร่วงหล่นริมทางเดิน
เขากระวนกระวายอยู่ในความเงียบงัน...
มือทั้งสองข้างและความรู้สึกว่างเปล่า-อ้างว้าง
ไม่มีทางเดินไปสู่ประตูบานนั้น
หน้าต่างปิดตายท่ามสนิมแดงกัดกร่อนลูกกลอน
สนิมแดงจับอยู่เนิ่นนานเช่นไร....
สนิมในใจคนก็คงอยู่เช่นนั้น
ไม่มีจิตตารมณ์แทรกตัวผ่านสนิมออกมาได้
มีเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบา
ความลับสีแดงถูกปิดซ่อน....
ช่างทำกุญแจปฏิเสธการทำกุญแจเพื่อเข้าสู่ห้องเยี่ยงนั้น
ใช่แล้ว! ใครก็ไม่อยากกลายใกล้
เสียงเตือนจากภายในกระหน่ำร้อง
อดีตของห้องหมายเลข ๓๐ ซอย ๑๖ วันที่ ๑๔ ถูกเก็บงำไว้
ไม่มีใครใคร่รู้เรื่องเหล่านั้นอีกแล้ว
ห้องหมายเลข ๓๐ เงียบงัน-วังเวง
ท่ามสนิมแดงเสวยสุขารมย์

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น :
“แมลงในห้องและเสียงร้องอันแปลกประหลาด”
สุมาตร ภูลายยาว

หลังหน้าแล้งผ่านพ้น หน้าฝนก็เข้ามาเยือน ต้นไม้ที่เคยแห้งเฉาเมื่อเดือนเมษายนก็กลับมาเขียวชะอุ่มอีกครั้ง หลายวันมาแล้วที่ฝนตกกระหน่ำลงมา หลังสายฝนหายจากฟ้าสีดำในเย็นวันหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงของมัน ความจริงแล้วมันส่งเสียงของมันมานานแล้ว มันอาศัยอยู่บนต้นไม้สูง ฉันหามันไม่เคยเจอสักทีแม้ต้องการเจอตัวของมันเพียงใดก็ตาม หลายวันที่ฉันตามหามัน เพราะอยากเห็นตัวเป็นๆ ของมัน ฉันเคยสงสัยว่า เวลามันร้องมันทำตัวอย่างไร เสียงของมันจึงได้ออกมาเสียงดังปานนั้น

บ่อยครั้งที่ฉันเฝ้าสอดส่ายสายตาไปตามต้นไม้สูงเพื่อที่จะเฝ้ามองมัน แต่สิ่งที่ฉันเห็นก็เป็นเพียงกิ่งไม้หลายๆ กิ่งเท่านั้นเอง มีบางคนเคยบอกกับฉันว่า มันพลางตัวบนต้นไม้ได้ดี เพราะสีผิวของมันมีลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้ และปีกของมันก็เป็นลายเส้นเหมือนกับเปลือกไม้เช่นกัน ฉันเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างตามความคิดของฉัน เพราะตัวฉันเองยังไม่เคยเห็นมันเลยสักทีแล้วฉันจะเชื่อสิ่งที่คนอื่นพูดได้ยังไง
ในคืนหนึ่งของวันอาทิตย์ ภายหลังที่ฝนจางหายไปแล้ว อากาศเย็นสบาย ฉันจึงขึ้นมาบนห้อง เพื่อปิดหน้าต่าง หลังจากที่ปล่อยให้ลมพัดผ่านเข้ามาในห้องตั้งแต่ตอนเช้า หูทั้ง ๒ ข้างของฉันก็ได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่างอยู่ที่ริมหน้าต่าง เสียงมันดังแจ๊กๆ ติดต่อกันหลายครั้ง เสียงนี้เป็นเสียงที่ฉันเคยได้ยินมาบ่อย และคุ้นเคย ฉันรู้ว่า บัดนี้เจ้าของเสียงกำลังตะกายมุ้งลวดอยู่ข้างนอกใกล้หน้าต่าง ใช่แล้ว! ใช่จริงๆ ด้วย ฉันเผลอส่งเสียงออกไปด้วยความยินดี หลังจากเหลือบไปเห็นเจ้าแมลงตัวหนึ่งที่มีสีสันเหมือนต้นไม้ ซึ่งบัดนี้มันกำลังตระกายมุ้งลวดอยู่
ฉันไม่รู้หรอกว่าในใจของเจ้าแมลงตัวนั้นมันคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดว่า ถ้าหากจับตัวมันเข้ามาปล่อยไว้ในห้องแล้วฟังเสียงมันร้องคงเพราะดี และถ้ามันเข้ามาในห้องจริงๆ จะจับมันมาวาดรูปไว้ให้สมใจอยากเสียที
ฉันว่ามันคงอยากเข้ามาในห้องจริงๆ เพราะมันพยายามใช้ขาทั้ง ๖ ของมันตะกายมุ้งลวดอยู่ตลอดเวลา ที่มันอยากเข้ามาในห้องคงเป็นเพราะในห้องมีแสงไฟสีขาวเย็นตาสว่างโพลนปรากฎอยู่ อารมณ์นั้นฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีครั้นจะไล่มันไปก็เสียดาย ฉันจึงค่อยๆ เปิดมุ้งลวดให้มันบินเข้ามาข้างในห้อง พอมันบินเข้ามา มันก็บินพุ่งขึ้นไปยังข้างฝาห้องใกล้กับประตู แล้วมันก็ขึ้นไปจับอยู่บนนั้นนานหลายนาที จากนั้นห้องทั้งห้องก็เดินทางไปสู่ความเงียบ ไม่มีเสียงใดปรากฎ ไม่มีแม้กระทั่งการเคลื่อนไหว
เนิ่นนานที่ความเงียบเข้าครอบงำห้องทั้งห้อง ฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่ามีแมลงตัวหนึ่งอยู่ในห้องด้วย หลังเอนหลังหลับได้ไม่นาน ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินมันขยับปีกส่งเสียงร้องออก ฉันมองไปที่มันอีกครั้ง คราวนี้ฉันเห็นภาพของมันอย่างเต็มตา เวลามันจะร้อง มันจะค่อยๆ ขยับปีกไปมา ก้นของมันจะกระดิกขึ้นแล้วมันก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมๆ กับปีกทั้งสองข้างของมันก็กางออกไปด้านข้างของลำตัว
ในขณะที่มันตะเบ็งเสียงออกมา ฉันค่อยๆ ลุกขึ้น และเดินไปยังต้นเสียงที่จับอยู่ข้างฝาห้องอย่างช้าๆ ฉันเอื้อมมือหมายไปจับที่ตัวมัน แต่มันอยู่ห่างฉันเหลือเกิน แม้ฉันจะพยายามอยู่หลายครั้งการพยายามก็สูญเปล่า ฉันจึงลงมานั่งคิดอยู่ข้างล่างว่าจะทำอย่างไรจึงจะจับตัวมันได้ เมื่อจับได้แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันดี ปล่อยมันออกไปดีหรือเปล่า หรือว่าปล่อยให้มันอยู่ในห้องต่อไปดี ฉันครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนหลับไปอีกครั้ง
ก่อนจะหลับ ฉันเห็นแมลงตัวหนึ่งมันขัยบปีกบินพุ่งตรงมายังฉัน เมื่อเข้ามาใกล้ มันค่อยๆ ขยายตัวให้ใหญ่ขึ้น หลังจากมาถึงตัวฉันขนาดของมันเท่าเดิม แต่เสียงของมันดังยิ่งกว่าเสียงช้างร้อง ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันจะทำอะไรกับฉันต่อ ขณะความลังเลกำลังดำเนินอยู่ ชั่วการขยับปีกของมัน ร่างของฉันที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันดิ้นรนเพื่อหนีจากเสียงของมันด้วยการเอามือทั้งสองข้างอุดหูทั้งสองเอาไว้ แต่ยิ่งไม่อยากฟังเสียงของมันเท่าใด มันก็ยิ่งส่งเสียงดังมากเท่านั้น ในที่สุดฉันก็หมดลมหายใจ หลังจากหมดลมหายใจ ฉันก็สะดุ้งตื่น ฉันตื่นขึ้นมาในขณะที่ฉันคิดว่าตัวเองตาย...

หลังยามเช้า ฉันก็ลืมเรื่องราวของเจ้าแมลงทั้งที่อยู่ข้างฝาห้องและในความฝันเสียสิ้น แต่ขณะจะก้าวพ้นประตูห้องออกไปข้างนอก ฉันก็นึกขึ้นได้เมื่อได้ยินเสียงของมันขยับปีกบินอีกครั้งหนึ่ง ฉันครุ่นคิดอยู่ในใจว่าเมื่อคืนมันนอนที่ไหน แล้วเช้านี้ฉันน่าจะปล่อยมันไปไหม แล้วเมื่อคืนทำไมฉันต้องจับมันมาด้วยน่าจะปล่อยให้มันอยู่ข้าง แต่ถ้ามันอยู่ข้างนอกแล้วฝนตกละมันจะไม่หนาวหรือเปล่า แล้วมันอยู่ในห้องมันจะไม่ตายหรือไม่ ถ้ามันตายแล้วมดแดงจำนวนมากก็คงจะพากันมาขนเอาศพของมันไป แต่ตอนที่มันตายฉันก็ไม่อาจรู้ได้ว่าศพของมันอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้นั้นแหละฉันจะได้ผจญกับมดแดงตัวเล็กๆ ที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาบนเสื้อผ้า เพื่อเดินทางไปหาซากศพของเจ้าแมลง แล้วฉันก็ค่อยๆ เปิดมุ้งลวดของหน้าต่างในห้องออกช้าๆ ในมือข้างซ้ายของฉันมีเจ้าแมลงตัวนั้น ฉันปล่อยมันออกไป เมื่อมันได้รับอิสระภาพ มันก็โผบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจะมีใครรู้บ้างว่า ที่ฉันต้องปล่อยมันให้บินออกไปนั้นเป็นเพราะอะไร ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องปล่อยมันไป แต่ที่ฉันรู้เมื่อคืนฉันต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะเสียงร้องของเจ้าแมลงตัวนี้อยู่บ่อยครั้งจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาเสียเลย
นอกจากจะนอนไม่ค่อยหลับ และไม่ค่อยได้นอนแล้ว ฉันยังฝันประหลาด ซึ่งเป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉันก็ไม่รู้เช่นกันว่า ทำไมฉันต้องฝันประหลาดเช่นนั้น...
ฉันฝันว่า ตัวเองนอนไม่หลับ โลกทั้งโลกเหมือนจมอยู่กับเสียงร้องของสัตว์บางชนิด เสียงร้องที่ดังอยู่ตลอดเวลาทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งต้องล้มตายลง เพราะทนกับเสียงที่เกินขนาดที่หูทั้งสองข้างจะรับได้ ขณะฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากนัก ยิ่งเนิ่นนานที่เจ้าแมลงบ้านั้นส่งเสียงร้อง ฉันก็เหมือนจะขาดใจตายลงทุกที หูทั้งสองข้างใกล้ระเบิด ฉันจมอยู่ในห้วงของความทรมานที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันจึงดิ้นรนเพื่อหนีไปให้ไกลจกาเสียงนั้น แต่ยิ่งหนี ฉันกลับพบว่า เสียงร้องนั้นมัมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แม้ฉันจะพยายามเอามือทั้งสองข้างอุดรูหูไว้เพียงใด เสียงร้องนั้นมันก็ยังเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ ในที่สุดเลือดก็ค่อยๆ ไหลออกจากรูหูและไหลลงมาตามมือทั้งสองข้าง เมื่อมองเห็นเลือด ฉันตกใจและสะดุ้งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันรีบสำรวจตัวเอง เพราะนึกว่าสิ่งที่มันเพิ่งเกิดขึ้นคือความจริง แต่เมื่อสำรวจตัวเองเรียบร้อย ฉันจึงพบว่า ฉันฝันไปชั่วยามที่หลงระเริงอยู่กับความดีใจ หูทั้งสองข้างก็พลันได้ยินเสียงเหมือนเช่นที่ฉันได้ยินในฝันอีกครั้ง ฉันพยายามตั้งสติและเดินไปเปิดไฟ เพื่อหาที่มาของเสียง ในที่สุดฉันก็พบที่มาของเสียง เสียงร้องทั้งในความฝันและความจริงที่ฉันได้ยิน มันคือเสียงของแมลงตัวที่ฉันเปิดรับมันเข้ามาในห้องเมื่อตอนเย็น ฉันแทบไม่เชื่อว่า เพราะเสียงร้องของแมลงตัวนี้แหละที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับ บางครั้งก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เสียงร้องของมันเดินทางเข้าไปสู่ความฝันอันแปลกประหลาดของฉันอย่างไม่น่าเชื่อ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ฉันจะปล่อยมันไปสู่อิสรภาพของมันดังที่ฉันได้เล่าให้ฟังในตอนต้น

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น :
"เดือนดับที่เวียงจัน"
เขียนโดย อุทิน บุนยาวง
ถอดความโดย สุมาตร ภูลายยาว

เขาวิ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อหลบลูกกระสุนจากการสู้รบที่กำลังดำเนินไปอยู่ทั่วทุกแห่งในนครเวียงจัน
บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ในคุ้มสายลม มันเป็นบ้านวิลล่าแบบสมัยใหม่สองชั้นเป็นปูนทั้งหลัง บริเวณลานบ้านโดยรอบกว้างขวางมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ทางเดินปูลาดด้วยซีเมนต์ เขาคิดว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คงจะเป็นเจ้านายใหญ่โตหรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง
เพราะความกลัวตายเขาจึงเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่คิดเกรงใจใครทั้งนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าจะเอาตัวรอดเท่านั้นเอง โคมไฟหน้าบ้านยังส่องสว่างอยู่ แต่หน้าต่างและประตูบ้านปิดสนิทหมดทุกบาน ที่เรือนครัวชายคนหนึ่งกำลังหอบข้าวของเครื่องใช้พะรุงพะรังด้วยอาการเร่งรีบ พอชายคนนั้นเห็นเขา ชายคนนั้นก็หยุดเดินแล้วยืนดูเขาด้วยความแปลกประหลาดใจ
"บ้านเจ้ามีหลุมหลบภัยไหม ผมขอหลบด้วยคนหน่อย"
"มีอยู่ แต่เจ้าต้องบอกกับเจ้าของบ้านก่อน"
"ผมเพิ่งกลับมาจากไปทำธุระระหว่างทางเกิดการยิงกันขึ้นเลยกลับบ้านไม่ได้ ผมขอหลบภัยด้วยคนนะครับ"
ชายคนนั้นเดินไปยังมุมของบ้านด้านเหนือแล้วหยุดอยู่ตรงปากหลุมหลบภัย เขาจึงเดินตามหลังชายคนนั้นไป
"เจ้านายมีคนมา" ชายคนนั้นร้องบอกคนที่อยู่ในหลุมหลบภัย
"ใครละ" เสียงผู้ชายที่อยู่ในหลุมหลบภัยร้องถามออกมา
"ไม่รู้" ชายคนนั้นตอบแล้วก็มุดหัวลงไปในหลุมหลบภัย
เขาก็ติดตามชายคนนั้นไปทันที ภายในหลุมหลบภัยมีเทียนไขอยู่เล่มหนึ่ง แสงของมันสว่างพอที่จะมองเห็นหน้ากันได้ สมาชิกภายในหลุมหลบภัยนั่งรายรอบเทียนไขเล่มนั้นอยู่ สายตาทุกคู่จ้องมายังเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ กว่านั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใส่แว่นตาท่าทางน่านับถือ เขาเอามือทั้งสองข้างซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว สายตาของชายคนนั้นจ้องมองมายังเขาด้วยความไม่เป็นมิตร เขาคิดว่าชายคนนี้คงจะเป็นหัวหน้าครอบครัว
"สงสารผมหน่อยเถอะ ผมก็กลัวตายขอผมหลบด้วยคนนะครับ"
"เจ้าเป็นใคร"
"ผมชื่อบุญเสริม บ้านอยู่โพนไชย ผมเพิ่งไปธุระในเมืองมาตอนขากลับเกิดการสู้รบกันระหว่างทาง เสียงปืนดังมาจากทางบ้านของผม ไม่รู้ว่าป่านนี้คนที่บ้านจะเป็นอย่างไร ผมไม่ใช่คนบ้านะครับ ผมมีหลักฐานนี้ไงบัตรประชาชนของผม"
"มันคงลำบากหน่อยนะ เพราะหลุมนี้มันก็เล็กละแคบด้วย" ชายคนนั้นอ้างเหตุผลด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ
"ยังไงก็ถือว่าทำบุญทำทานแล้วกันครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลยครับ"
ในหลุมนั้นมีคนอยู่ข้างในแล้ว ๖ คนรวมกับเขาเข้าไปอีก ๑ คนก็เป็น ๗ คนพอดี คนที่นั่งถัดจากชายคนใส่แว่นตาไปนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน ต่อจากหญิงวัยกลางคนนั้นไปเป็นเด็ก ๒ คนผู้หญิงกับผู้ชาย ถัดจากเด็ก ๒ คนนั้นไปก็เป็นหญิงสาวอายุประมาณ ๑๘ ปีหนึ่งคน
หญิงสาวคนสุดท้ายนี้เธอสวยและดูดีมีเสน่ห์จึงทำให้หลุมหลบภัยมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ข้างซ้ายของหญิงสาวคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่พาเขาลงมาในหลุมดูท่าทางแล้วคงเป็นคนขับรถประจำครอบครัวนี้ เขานั่งหันหลังให้ปากหลุมซึ่งอยู่ระหว่างคนใส่แว่นตาและคนขับรถ หัวใจของเขาเต้นแรงเพราะความแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
"เจ้าไปคนเดียวหรือ"
"ครับ ผมไปคนเดียว ผมกำลังรอรถแท๊กซี่ก็พอดีเสียงปืนดังขึ้น ผมเรียกรถคันไหนก็ไม่มีคันหยุด ผมก็เลยวิ่งออกมา พอมาถึงบ้านของท่านก็ปรากฏว่ามีเสียงปืนดังอยู่ข้างหน้าใกล้ๆ ผมก็เลยวิ่งเข้ามาบ้านหลังนี้แหละครับ"
"อยู่คุ้มบ้านนี้เจ้าไม่มีพี่น้องเลยหรือ"
"ไม่มีเลยครับ"
"ทำไมไม่วิ่งเข้าบ้านโน้น บ้านฟากถนนโน้นเขามีหลุมใหญ่ๆ หลายหลุม" ชายผู้เป็นหัวหน้าครบครัวกล่าวด้วยเสียงดังขึ้นมา
"ผมรีบเพราะความกลัวตายถึงที่ไหนผมก็เข้าที่นั่นแหละครับ เพราะผมเห็นว่าตรงนี้มันก็เป็นบ้านพอที่จะหลบภัยได้ ผมก็เลยตัดสินใจเข้ามา"
"อย่างไรก็ตามหลุมนี้มันไม่ทนหรอกถูกลูกปืนใหญ่มันก็พังแล้ว เจ้าเห็นไหมบ้านที่อยู่คุ้มตลาดเย็นสีทอนมันก็พังหมดแล้ว"
เขาไม่มีคำถกเถียงเพราะในตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในความเมตตาของเจ้าของบ้าน
"ถ้าเป็นข้าๆ จะกลับไปให้ถึงบ้าน ลูกผู้ชายกลัวอะไร ครั้งก่อนนี้ข้าไปธุระในเมืองเห็นเขายิงกันมาทั้งทางน้ำและทางทุ่งนา ลูกปืนปานห่าฝน ข้ายังพยายามกลับมาจนถึงบ้าน"
"ตอนนั้นมันเป็นตอนกลางวันนะครับ แต่ตอนนี้มันเป็นกลางคืนผมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะกลัวถูกลูกหลง"
"กลางคืนนั้นแหละดีค่อยๆ หลบออกไปไม่มีใครเห็น"
เขาไม่พูดอะไรโต้ตอบกับชายเจ้าของบ้าน เขารู้สึกไม่สบายใจที่มานั่งอยู่กับคนที่ไม่เคยรู้จักและต้องมาถูกต้อนรับด้วยความไม่พอใจ ความคิดที่สับสนได้เดินทางมาในสมองของเขาๆ คิดถึงบ้านไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่พี่น้องจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ป่านนี้คงเสียขวัญกันหมดแล้ว และคงเป็นห่วงเขาที่พัดหลงกันในยามยากเช่นนี้
สงครามครั้งที่แล้วครอบครัวของเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เสียขวัญกันไม่ใช่น้อย เพราะลูกปืนตกลงมาตรงหน้าบ้านพอดี สะเก็ดของระเบิดกระเด็นไปตัดต้นหมากจนหักโค่นลงมา อีกลูกหนึ่งตกลงมาตรงรั้วสังกะสีจนสังกะสีปลิวขึ้นไปค้างอยู่บนกิ่งมะขาม คนที่อยู่ใกล้แถวนั้นโดนปืนตายไปหลายคน แต่ครอบครัวของเขาโชคดีปลอดภัยกันทุกคน แล้วไม่รู้ว่าครั้งนี้โชคดีจะเข้าข้างอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่แน่ใจ เขาคิดถึงภาพที่ไฟกำลังไหม้บ้าน คิดถึงพ่อแม่พี่น้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกลูกปืน เมื่อคิดดังนั้นเขาอยากจะออกวิ่งจากสถานที่แห่งนี้ไปในบัดนั้น
บนพื้นดินในตอนนี้เสียงปืนเบาบางลงแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงปืนใหญ่ดังอยู่เป็นบางครั้ง
"เสียงปืนเงียบไปแล้วการสู้รบคงยุติลงแล้ว" หญิงผู้เป็นเมียเจ้าของบ้านพูดขึ้นมา หลังจากที่เสียงพูดคุยของทุกคนเงียบไปนาน
"ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมตอนนี้ เจ้าก็กลับบ้านของเจ้าเสียไม่ต้องกลัวหรอก"
ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านบอกกับเขาพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วทั้งหลุมเพื่อดูสิ่งของมีค่า เช่น ขันเงิน วิทยุ ดาบโบราณด้ามเงิน หีบสามใบ และเครื่องของที่จำเป็นอื่นๆ อีกซึ่งอยู่ข้างในหลุม
เขาคิดอยู่นิดหนึ่งแล้วหันไปมองหญิงสาวก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นก็เฝ้ามองเขาอยู่เช่นกัน เธอคงสงสารหรือไม่ก็คงเห็นใจเขาอยู่บ้าง เขาอยากจะพูดกับนางสักคำ แต่มันไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่เขาจะพูดกับนาง แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมองดินเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก
แล้วเขาก็ตัดสินใจลาจากที่แห่งนั้น
บนถนนยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่บ้างเล็กน้อย ทุกคนมีอาการปกติไม่เร่งรีบ เสียงปืนยังคงดังอยู่เป็นจุดๆ ท้องฟ้ามืดมัวผิดปกติทั้งที่เป็นวันแรมหนึ่งคำเท่านั้นเอง เขาสังเกตดูเหตุการณ์ต่างๆ เป็นนานสองนานแล้วเขาก็อยากเอามะเหงกเขกหัวตัวเองที่ไม่รอบครอบ
“กบกินเดือนแท้ๆ !” (จันทรุปราคา)
พอพูดเสร็จเขาก็เอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี เขาคิดอยากจะกลับไปบอกความจริงกับครอบครัวนั้น แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าจะเป็นเหตุให้พวกเขาเกิดความละอายใจเสียเปล่าๆ โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นที่ได้แสดงกิริยาที่ไม่เป็นมิตรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขาก็คงรู้เองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดคืออะไร ในขณะที่เดินไปเขาก็คิดถึงใบหน้าหญิงสาวคนนั้นอยู่ไม่หาย เขาอยากให้มันเกิดศึกขึ้นจริงๆ เพื่อว่าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ กับหญิงสาวคนนั้นนานๆ
ทุกวันนี้เขาพบกับเธอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เธอจะยิ้มอย่างอายๆ แต่ในส่วนลึกของหัวใจคงหัวเราะอยู่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็เช่นกันเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นทีไรเขาก็จะหัวเราะออกมาทุกที

--------------------------------------------------------------------


อุทิน บุนยาวง เป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งของประเทศลาวที่เติบโตมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในประเทศลาวเมื่อปี ๑๙๗๕ ในช่วงนั้นเขาเลือกที่จะอยู่ในประเทศลาวเพื่อทำงานเขียนตามความต้องการของตัวเอง เขามีผลงานที่ไดรับการตีพิมพ์เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะงานเรื่องสั้นของเขา ในปี ๑๙๗๗ มีรวมเรื่องสั้นชื่อ งามบ้านเกิดที่เขาเขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นๆ ของประเทศลาว ปี ๑๙๗๘ มีรวมเรื่องสั้นเรื่อง ตะวันขึ้นที่ดอนนาง ปี ๑๙๗๙ มีงานรวมเรื่องสั้นสำหรับเยาวชนชื่อเรื่อง ปลาค่อโลภา และงานรวมเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ปลาช่อนโลภมาก และในปี ๑๙๙๒ เขามีงานรวมเรื่องสั้นที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอีกหนึ่งเล่มคือ แพงแม่ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยในรวมเรื่องสั้นชื่อว่า เมื่อแม่จากไป อุทิน บุนยาวง เสียชีวิตลงแล้วเมื่อปี ๒๐๐๐ รวมเรื่องสั้นล่าสุดของอุทิน บุนยาวง คือ เรารักกันไม่ได้ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกเกด




เรื่องสั้น

เรื่องสั้นแปล :
“หญิงสาวขายยาสูบ”
เขียนโดย รุ่งอรุณ แดนวิไล
ถอดความโดย สุมาตร ภูลายยาว

ข้าพเจ้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้เกือบปีแล้ว, ถ้าจะให้พูดก็พูดได้ว่าบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่นี้มันตั้งอยู่ในคุ้มบ้านของคนที่ทำการค้าขาย เพราะสังเกตได้จากบ้านที่อยู่ฟากตรงข้ามนั้นก็เป็นร้านขายอาหาร, ร้านขายอุปกรณ์สำนักงาน, ร้านขายหนังสือ และบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ส่วนบ้านที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกันและติดกับบ้านของข้าพเจ้า ๒-๓ หลังก็ขายก๋วยเตียว ถัดจากร้านขายก๋วยเตียวไปก็เป็นร้านเสริมสวย ต่อจากร้านเสริมสวยไปก็เป็นร้านขายบุหรี่ที่เป็นร้านแบบง่ายๆ มีโต๊ะหนึ่งตัวสำหรับตั้งตู้กระจกเพื่อวางบุหรี่ แลโต๊ะตัวนี้มันก็สามารถจะโยกย้ายไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย ถัดจากโต๊ะตัวนั้นมาก็มีเก้าอี้ ๓-๔ ตัว เจ้าของร้านขายบุหรี่ร้านนี้เป็นผู้หญิงและที่สำคัญเธอยังไม่ได้แต่งงาน!
ข้าพเจ้าเห็นเธอนั่งขายบุหรี่อยู่อย่างนั้นตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ครั้งแรก ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเธอไปเที่ยวไหนสักครั้งเดียว แต่ก็มีหนุ่มโสดหรือแม้กระทั่งคนมีลูกเมียแล้วยังมาซื้อบุหรี่กับเธอ ซึ่งส่วนมากก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์มา หรือบางทีก็มีรถส่วนตัวคันงามมาจอดแวะซื้อบุหรี่กับเธอ, นานๆ จึงจะขับจากไป, ข้าพเจ้าเห็นเธอต้อนรับลูกค้าคนนี้ดีเป็นพิเศษ จนบางครั้งข้าพเจ้าเองก็รู้สึกอิจฉาเขา
ข้าพเจ้าเฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ ทุกคืนข้าพเจ้าจะยกเก้าอี้ออกมานั่งอยู่ตรงระเบียงชั้น ๒ ของบ้าน ข้าพเจ้าเฝ้าขโมยติดตามดูเธอนั่งขายบุหรี่อยู่ตรงริมถนนหน้าบ้านของเธอทุกวัน จนกว่าว่าเธอจะยกตู้กระจกใส่บุหรี่ตู้นั้นเข้าไปในบ้านแล้วไม่กลับออกมาอีกนั้นแหละ ข้าพเจ้าจึงเข้านอน
“อยากเข้าไปหาเธอ, แต่จะไปนั่งคุยเฉยๆ บางทีเธออาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้” ข้าพเจ้าคิด
ถ้าหากพูดเรื่องบุหรี่แล้ว, ข้าพเจ้าไม่เคยแม้แต่จะเอามันมาใกล้ปากเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพื่อนฝูงหลายคนเคยทวงถามถึงเรื่องนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ตอบเพื่อนว่า บุหรี่นอกจากจะทำให้สูญเงินแล้ว มันยังทำลายสุขภาพอีกด้วย
ข้าพเจ้าไม่เคยตำหนิคนที่ดูดบุหรี่ทั่วไป แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ชอบนิสัยของคนดูดบุหรี่บางคนที่ดูดบุหรี่ไม่เป็นที่เป็นทาง นั่งดูดบุหรี่แล้วเขี่ยขี้ยาหรือทิ้งก้นยาไปเรื่อย, ซึ่งการทิ้งนั้นมันก็ก่อให้เกิดผลสะท้อนต่อคนรอบข้างไปด้วยเช่นกัน บางทีก็ทำให้สถานที่ดูไม่งามตา หรือบางทีที่ร้ายไปกว่านั้นเคยมีไฟไหม้ซึ่งเกิดจากก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งไปบนเศษขยะติดไฟง่ายมาแล้ว
วันนี้ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ-หญิงสาวขายบุหรี่
“ซื้อบุหรี่หน่อย”
“เอายี่ห้ออะไรจ๊ะพี่”
“เอาบุหรี่ ๓๕”
ข้าพเจ้าตอบออกไปโดยไม่ได้คิดว่าบุหรี่ที่ข้าพเจ้ากำลังจะซื้อมันเป็นบุหรี่ชนิดที่คนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับข้าพเจ้าเขานิยมดูดกันในตอนนี้หรือไม่
เธอยื่นม้วนบุหรี่และไฟแช็กมาให้ข้าพเจ้าเรียบร้อย, ข้าพเจ้ารับเอาบุหรี่ตัวนั้นมาคาบไว้บนริมฝีปากแล้วปัดไฟแช็กใส่มันทันที แต่ดูเหมือนว่าบุหรี่เจ้ากรรมม้วนนี้มันไม่ได้ไหม้เลยแม้แต่น้อย, มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า แทนที่ข้าพเจ้าจะดูดเอาควันบุหรี่เข้าไปในปอด แต่ข้าพเจ้ากลับเป่าลมออกมาข้างนอก ข้าพเจ้านั่งเป่าบุหรี่อยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน, เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอ, สุดท้ายก่อนจากมา ข้าพเจ้าก็เลยซื้อบุหรี่หนึ่งซองจากเธอติดมือกลับบ้านด้วย
จากวันนั้นมาข้าพเจ้าก็แวะเวียนไปซื้อบุหรี่ที่ร้านของเธอทุกๆ วัน บางครั้งก็นั่งดูดอยู่ที่ร้าน และหาเรื่องมาคุยกับเธอ จนในที่สุดข้าพเจ้ากับเธอ-เราก็สนิทสนมกัน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้เพิ่มรายจ่ายประจำวันให้กับตัวเองขึ้นอีก และในเวลาที่พบกับเพื่อนฝูง ถ้าเพื่อนคนใดยื่นบุหรี่มาให้ ข้าพเจ้าก็ไม่ปฏิเสธมันเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาอีกต่อไป
“อย่างนี้แหละเขาจึงเรียกว่าลูกผู้ชาย”
“อย่างนี้แหละจึงจะอยู่ในสมาคมกับเพื่อนได้”
ประโยคเหล่านี้เป็นถ้อยคำชมเชยของเพื่อนบางคน ซึ่งดูเหมือนว่ามันมีส่วนในการทำให้ข้าพเจ้าสามารถจะใกล้ชิดกับเพื่อนๆ ได้เพิ่มขึ้น
คืนหนึ่งดึกดื่นพอสมควร, รถวิ่งอยู่บนถนนลดน้อยลง, ข้าพเจ้ายังนั่งดูดบุหรี่อย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ร้านของเธอ
ในความมืดมิดนั้น, ข้าพเจ้าและเธอนั่งสบตากันและกันเป็นบางครั้ง ดวงตาของเธอคู่นั้นมันช่างอ่อนหวาน และดึงดูดเอาหัวใจของข้าพเจ้าให้ใฝ่ฝันจนยากจะกล่าวสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับเธอ
“ทำไมไม่เห็นเธอไปเที่ยวไหนเลยสักครั้ง?” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่มีใครพาไปเที่ยวก็เลยไม่ได้ไป”
เธอกล่าวออกมา, ในถ้อยคำตอบของเธอนั้น มันช่างเหมือนที่ข้าพเจ้าคิดไว้เสียเหลือเกิน
“ก็นัดให้แฟนมารับไปเที่ยวสิ”
“น้องยังไม่มีแฟนเลย”
“ไม่เชื่อหรอก, อาจเป็นเพราะน้องกำลังเบื่ออยู่มากกว่ามั่ง”
เธอก้มหน้าต่ำลงและพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความจริงใจ
“ถ้าบอกว่าไม่เลือกก็ไม่ถูก, น้องไม่ชอบผู้ชายดูดบุหรี่ แต่ผู้ชายที่มาคุยกับน้องทำไมถึงมีแต่คนที่ดูดบุหรี่เก่งๆ ก็ไม่รู้!!...?”

....................................... ๐ ๐ ..................................

รุ่งอรุณ แดนวิไล เกิดเมื่อปี ๑๙๖๒ ในครอบครัวชาวนา ที่เมืองนาทรายทอง กำแพงนครเวียงจัน จบปริญญาตรีวิชาวรรณคดี-ภาษาลาว จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ เข้าทำงานที่วารสารวรรณศิลป์ปี ๑๙๘๘ เริ่มมีผลงานที่เป็นเรื่องสั้นและบทกวีปรากฏตามหน้าวารสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆ มาตั้งแต่ปี ๑๙๖๘ มีผลงานรวมเล่มแล้วคือ “สาวขายยาสูบ” (รวมเรื่องสั้น) “น้ำใจ” (รวมบทกวี) หนังสือประกอบรูปภาพสำหรับเด็ก รวมทั้งหนังสือนิทานอีกจำนวนหนึ่ง มีผลงานรวมเล่นมาแล้วประมาณ ๑๐ กว่าเล่ม ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าอำนวยการ และบรรณาธิการวารสารวรรณศิลป์