วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น:
“เปลวไฟในใจคน”
สุมาตร ภูลายยาว

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด บรรยากาศค่ำคืนเงียบสงัดวังเวง ในความเงียบมีสายลมเย็นโชยพัดมาบางเบา สายลมไม่ได้พัดพาเอาความเย็นมาสู่บริเวณนั้นเพียงอย่างเดียว แต่สายลมที่โชยพัดมานั้นได้พัดพาเอาความร้อนมาด้วย…
เขานอนกระสับกระส่ายพลิกตัวกลับไปกลับมาหลายครั้ง เพราะไม่สามารถจะข่มดวงตาให้หลับลงได้เลยแม้แต่งีบเดียว เมื่อนอนไม่หลับ เขาจึงลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินออกมาข้างนอกห้องลงมายังใต้ถุนบ้าน ขณะเดินฝ่าความมืดลงมาตามขั้นบันไดลงมาทีละขั้น เมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้าย เขาก็มาหยุดอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้ายเนิ่นนาน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง
เพราะความที่เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี้ได้ไม่นานเท่ากับคนอื่นๆ เขาจึงไม่คุ้นชินกับอากาศมากนัก เพราะบางวันอากาศก็ร้อนปานศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ บางวันอากาศเย็นจนหนาวยะเยือก ตอนมาถึงที่นี่ช่วงแรกๆ เขาเกือบจะไม่สบายอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็รอดพ้นมาได้
เขาบ่นพึมพรำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินพ้นออกมาจากบันไดมุ่งตรงไปยังสนามหญ้า เมื่อเดินมาถึง เขาก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างในความมืดข้างหน้า มันดูเลือนลางเหมือนว่าไม่มีอยู่จริง แม้จะมีอยู่จริงโดยเฉพาะอาคารเรียนหลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งอยู่ตั้งเด่นอยู่ตรงข้างหน้าของเขาก็เห็นเพียงเงาสีดำตะคุ่มๆ อาคารเรียนหลังนี้สร้างขึ้นมาจากไม้เนื้อดีและสร้างอย่างวิจิตรบรรจงด้วยความร่วมมือของเขาใหญ่และช่างฝีมือชั้นเขาของหมู่บ้าน มันจึงดูสวยงามกว่าอาคารหลายๆ ของโรงเรียนที่มีอยู่ บริเวณด้านข้างของอาคารมีแปลงดอกไม้กำลังออกดอกสวยงาม บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีคนต่างถิ่นมาขอซื้ออาคารหลังนี้ แต่เขาและชาวบ้านไม่เคยคิดจะขายมัน เพราะมันเป็นสมบัติมีค่าที่สรางความภิมใจให้กับเขาต่างถิ่นเช่นเขาและชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน
ขณะนั่งทอดอารมณ์คิดถึงเรื่องราวต่างๆ อยู่ ทันใดนั้น ! เขาก็ต้องหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เพราะได้ยินเสียงร้องดังมาจากบ้านหลังใดหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน…
“ไฟไหม้ ไฟไหม้ ๆ” คำว่า ‘ไฟไหม้’ ได้ฉุดดึงห้วงภวังค์ของเขาให้เดินทางกลับเข้าสู่ความจริง หลังจากที่ปล่อยตัวเองล่องลอยไปกับความคิดคำนึงเสียเนิ่นนาน เขารีบวิ่งไปยังจุดที่คาดว่าจะเกิดเหตุ-การณ์ เขาวิ่งไปพร้อมๆ กับตะโกนว่า ไฟไหม้ไปด้วย
“ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้โรงเรียนช่วยด้วย ช่วยด้วย!!! ”
เสียงตะโกนของเขาทำให้หลายบ้านที่ปิดไฟนอนไปแล้วเปิดไฟออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและตั้งสติได้บ้างก็วิ่งไปหาน้ำ บ้างก็หอบหิ้วเอาถังไปใส่น้ำ บ้างก็วิ่งเข้าไปในอาคารที่ไฟยังไหม้ไม่หมดเพื่อขนเอาเก้าอี้ออกมา เพราะความที่อาคารทั้งหลังทำจากไม้จึงทำให้เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนเปลวไฟลามทุ่งแล้ง เพียงชั่วพริบตาเดียวอาคารเรียนทั้งหลังที่มีทั้ง โต๊ะ เก้าอี้ กระดาน-ดำ และหนังสือเรียนก็ถูกเปลวไฟกัดกินจนเกลี้ยง พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของเถ้าถ่านสีแดง!
แม้ว่าชาวบ้านจะมาช่วยกันดับไฟเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งเปลวไฟลงได้ เหตุ-การณ์อย่างนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เท่าที่เขาและชาวบ้านยังจำได้ มันเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าจะพยายามช่วยกันป้องกันมากมายเพียงใดก็ตามที แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เช่นเดิม…
เขาเป็นครูคนหนึ่งที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เขามาอยู่โรงเรียนแห่งนี้วันแรกจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยประสบปัญหาอะไรมากมายนักปัญหาแรกๆ ที่เขาเจอคือพ่อแม่ของเด็กไม่อยากให้ลูกๆ ของตัวเองมาโรงเรียน และเด็กบางคนก็ไม่อยากมา โรงเรียน เขาเคยทำคำร้องขอย้ายออกจากพื้นที่เพื่อให้คนอื่นเขามาสอนแทน แต่ก็ไม่มีใครยินดีที่จะย้ายมายังหมู่บ้านแห่งนี้เท่าใดนัก เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่มีคนมาสอนเขาจึงต้องอยู่สอนที่โรงเรียนแห่งนี้ต่อไปแม้ว่าแรกๆ เขายังเข้ากับคนในหมู่บ้านไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่พออยู่นานไปทุกคนในหมู่บ้านก็รับเอาเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
เขานั่งมองเปลวไฟและถ่านเถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา…
ถึงแม้นว่าจะสร้างอาคารเรียนอย่างแน่นหนาปานใดก็ตามที ไฟมันก็ยังคงไหม้อยู่เช่นเดิม เหตุ-การณ์อย่างนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ ๓ ปีก่อน
เขาในฐานะเขาใหญ่ได้ปรึกษากับชาวบ้านเพื่อช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้ปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาอีก แต่มันก็เกิดขึ้นมาจนได้ เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นคงไม่มีใครจะเสียใจเท่ากับเขาอีกแล้ว เพราะถ้าไฟไหม้โรงเรียนก็เหมือนว่าไฟไหม้ฉากข้าวของเขาไปด้วยเช่นกัน
เมื่อไฟดับมอดลงชาวบ้านหลายคนก็ค่อยๆ ทยอยกลับบ้าน แต่บางคนก็ยังเฝ้ารอดูเหตุการณ์ ในจำนวนคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นั้น บางคนก็อยากให้เขาตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไฟไหม้โรงเรียนอีกครั้งเพราะสาเหตุอะไร?
เขาได้ยินคำถามที่ชาวบ้านถามกันไปถามกันมาเขารู้ว่าคำถามเหล่านั้นคนที่จะตอบมันได้ต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว เขาไม่รู้จะอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรดี เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบตรงแก้มเพื่อเช็ดเหงื่อที่ไหลโทรมลงมา เขาอยากบอกกับใครๆ ว่า เขาเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการสูญเสียในครั้งนี้มันใม่ใช่การสูญเสียเพียงน้ำเหงื่อน้ำแรงเท่านั้น แต่มันยังสูญเสียสถานที่ ซึ่งเป็นๆ ให้เด็กตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านได้มารวมกัน
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันหมดสิ้นแล้ว” เขาบ่นพึมพรำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
“ทำไมมันถึงเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้?”
เมื่อเวลาผ่านไปนานสองนาน เปลวไฟหยุดการพิโรธลงอย่างสิ้นเชิง ความเงียบงันก็ได้เข้ามาแทนที่ความวุ่นวายอีกครั้ง ชาวบ้านพากันกลับบ้านไปหมดแล้ว แต่เขายังไม่กลับ เขายังนั่งมองกองเถ้าถ่านไฟกองนั้น ซึ่งกำลังค่อยๆ มอดดับลง และในขณะนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาแล้วนั่งลงข้างๆ เขา ชายคนนั้นเอ่ยกับเขาเบาๆ ว่า
“ครูไปนอนเสียเถอะ อย่าไปคิดอะไรมาก ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นมาหรอกและเราทุกคนก็ไม่ได้โทษเขาด้วย แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไป ทุกสิ่งมันย่อมมีการเกิดขึ้นและมีการดับไปเป็นธรรมดา อีกไม่นานพวกเราก็คงจะมีโรงเรียนหลังใหม่เองแหละครู”
“ลุงก็พอรู้สาเหตุไม่ใช่หรือว่าไฟทำไมถึงไหม้?”
“ใช่! ผมรู้และเขาเองก็รู้ด้วยเช่นกันไม่ใช่หรือ?”
“ใช่! เราทั้งสองต่างรู้ แล้วทำไมเราไม่ช่วยกันป้องกันเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก”
“ครู ผมว่าแม้นเราจะหาทางป้องกันมัน เราก็ทำไม่ได้หรอก เพราะไฟมันไม่ได้ไหม้ที่นี่ที่เดียว มันไหม้ไปทุกหย่อมหญ้า แผ่นดินที่เราเหยียบอยู่มันกลายเป็นไฟไปแล้วครูก็รู้ ครูไปนอนเสียเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยมาว่ากันใหม่ว่าจะจัดการอย่างไร”
“ลุงไปนอนก่อนเถอะผมยังไม่ง่วง เมื่อผมง่วงแล้วผมจะตามไป”
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เสียงไก่ขันแว่วดังมาปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ เขาลุกขึ้นหันหลังให้กับกองไฟนั้นแล้วเดินจากไป…
เขาไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ดี เพราะอาคารหลังนี้มันเป็นอาคารหลังสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนไกลปืนเที่ยงเช่นโรงเรียนแห่งนี้จะมี และคงอีกนานกว่าที่งบประมาณใหม่จะมาและอาคารหลังใหม่จะเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามทีสิ่งที่เขาไม่ต้องการอย่างที่สุดก็คือในวันพรุ่งนี้เขาไม่อยากเห็นดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังเฝ้ามองเศษซากของอาคารเรียนหลังสุดท้ายของพวกเขาจมอยู่ใต้กองเถ้าถ่านบนแผ่นดินไฟผืนนี้
เสียงไก่ขันแว่วดังมาอีกครั้ง สัญญาณของรุ่งเช้าใกล้มาเยือน อีกไม่นานชาวบ้านในหมู่บ้านรวมทั้งตัวเขาก็จะได้ลุกขึ้นมาสวดมนต์ยามเช้าอันเป็นกิจวัตรทางศาสนาที่ต้องทำเป็นประจำ
เขางีบหลับไปอีกครั้งในยามใกล้รุ่งสางของวันคืนอันเลวร้ายนั้น…
เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าในวันรุ่งขึ้นแผ่นดินแห่งนี้ไฟจะลุกไหม้ขึ้นมาครั้งอีกเมื่อใดแต่สิ่งที่เป็นคำถามค้างคาอยู่ในใจของเขาเสมอมานั้นคือ เมื่อแผ่นดินลุกเป็นไฟ ทำไมไฟจึงลุกไหม้ที่โรงเรียนเป็นที่แรกอยู่เสมอ?
หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายในตอนกลางคืนผ่านไปแล้ว ในตอนเช้าชาวบ้านจำนวนมากก็มายังโรงเรียน ทุกคนต่างไถ่ถามกันและกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น? แต่ไม่มีใครตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น อาคารเรียนหลังสุดท้ายจึงกลายเป็นกองเถ้าถ่าน
ย้อนหลังไปประมาณ ๕ วันก่อนที่ไฟจะไหม้อาคารเรียนหลังนี้ มีเจ้านายจากจังหวัดเดินทางมายังโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อมาตรวจความเรียบร้อยของโรงเรียนตามปกติ แต่สำหรับการมาของเจ้านายจากจังหวัดในครั้งนั้น มันได้สร้างความลำบากใจให้กับเขาและคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก
เจ้านายที่เดินทางมาในครั้งนั้นบอกกับคนทั้งหมู่บ้านว่าจะรื้ออาคารเก่าหลังนี้ออกแล้วสร้างอาคารหลังใหม่ตามงบประมาณที่ได้รับมา เพื่อรองรับนโยบายการปฏิรูปการศึกษา โรงเรียนจะมีอาคารปูนหลังใหม่ใหญ่กว่าอาคารไม้หลังนี้ และโรงเรียนจะกลายเป็นโรงเรียนในฝัน ชาวบ้านหลายคนไม่เห็นด้วย กับเจ้านายที่มาจากจังหวัด เพราะชาวบ้านอยากจะเก็บอาคารไม้หลังนี้เอาไว้เพื่อให้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ถึงความเป็นมาของอาคารหลังนี้สำหรับคนที่อยากรู้ เนื่องจากในปัจจุบันอาคารไม้อย่างนี้ในจังหวัดมันไม่มีที่อื่นอีกแล้วนอกจากที่โรงเรียนแห่งนี้
หลังจากเจ้านายจากในเมืองกลับไปแล้วก็มีกลุ่มคนที่มาจากบ้านของนายช่างผู้รับเหมาในเมืองมาด้อมๆ มองๆ และรบเร้าให้ชาวบ้านรื้ออาคารไม้หลังนี้เสีย พวกเขาจะได้สร้างอาคารหลังใหม่เสียที แต่คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครสนใจกับคนกลุ่มนั้น จนมาถึงวันนี้ วันที่อาคารไม้หลังนั้นถูกเผานั้นแหละเรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอีกครั้ง
เขาในฐานะของเขาใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้รู้สึกลำบากใจพอสมควร เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เรายกขบวนไปบุกบ้านมันเลยดีไหมครู?”
“ไม่ได้หรอก เพราะเรายังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นจากฝีมือของพวกเขา หรือเกิดขึ้นจากความประมาทของพวกเรา”
เขาจำเป็นต้องตอบคนในหมู่บ้านไปเช่นนั้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าคนในหมู่บ้านคิดอะไรอยู่ แต่ในวันนี้เขาต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ แม้ว่าเขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมาก็ตามที
“พี่น้องครับ เอาไว้ให้ผมรายงานหน่วยเหนือเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรกัน ตอนนี้พ่อแม่พี่น้องแยกย้ายกันกลับบ้านก่อนนะครับ ถ้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วผมจะแจ้งกับที่ประชุมของหมู่บ้านให้พี่น้องได้รู้กันทุกคน”
เหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นผ่านไปได้ ๓ วันแล้วแต่ข่าวคราวต่างๆ ยังไม่มีความคืบหน้า ในช่วงนี้เขามีโอกาสได้พบกับนายช่างผู้รับเหมารับเหมาก่อสร้างที่เข้ามายังหมู่บ้านอีกครั้ง
“ผมบอกครูแล้วว่าให้รื้อครูก็ไม่เชื่อ สุดท้ายเป็นอย่างไรละ ไม้ก็ไม่ได้คืนสักแผ่น” นายช่างผู้รับเหมาพูดกับเขาก่อนที่จะสั่งให้ลูกน้องถ่ายรูปซากของอาคารเรียนที่จมอยู่ใต้กองเถ้าถ่านหลังนั้น
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ นายช่างผู้รับเหมาคนนั้นก็ขับรถออกไป แต่ก่อนที่จะกลับนั้นนายช่างได้พูดกับเขาว่า อีกไม่เกิน ๕-๖ เดือนครูก็จะเห็นอาคารหลังใหม่แล้ว
เขายืนมองรถคันนั้นวิ่งออกไปจากโรงเรียนจนลับตาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอีกครั้ง บัดนี้แผ่นดินที่เขายืนอยู่มันได้ลุกเป็นไฟไปเสียแล้ว ไฟเกิดขึ้นจากที่นี้วันนี้ พรุ่งนี้มันก็จะเกิดขึ้นที่อื่นอีกอย่างแน่นอน เพราะแผ่นดินผืนนี้มันมีไฟสุมอยู่ทุกที่ ไฟเหล่านี้ต่างรอการปะทุ แต่เวลาปะทุของมันต่างแตกต่างกันออกไป…
ในค่ำคืนของเดือนมืดข้างแรม ยามที่ผู้คนในหมู่บ้านกำลังหลับไหล เขาได้ตัดสินใจเดินออกจากโรงเรียนไปตามทางเดินแคบๆ ที่คนกลุ่มหนึ่งเคยเดินทางมาพบกับเขาในยามค่ำคืน เขาตัดสินใจทิ้งซากอาคารเรียนหลังนั้นไว้ในกองเถ้าถ่านไฟเบื้องหลัง เขาจากไปแล้วท่ามกลางปริศนาต่างๆ ที่ทิ้งไว้ให้คนในหมู่บ้านได้กล่าวถึงการหายไปของเขา
ครูของชาวบ้านจากไปพร้อมกับแสงไฟสุดท้ายในคืนเดือนมืด.....มีคนกล่าวไว้อย่างนั้น
ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครในหมู่บ้านแม้แต่คนเดียวรู้ว่าครูของพวกเขาหายไปไหน การหายไปของเขาจึงกลายเป็นปริศนาที่อยู่ในใจของคนทุกคนในหมู่บ้านตลอดมา
หลังจากเขาหายไปได้ ๕ วันก็มีข่าวว่า นายช่างผู้รับเหมาถูกยิงตายขณะขับรถเข้าไปในเมือง ไม่มีใครในหมู่บ้านเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของนายช่างผู้รับเหมา แต่พวกเขากลับสงสัยว่า ใครเป็นคนฆ่านายช่างผู้รับเหมา? มีบางคนในหมู่บ้านบอกว่า บางทีอาจเป็นเขา-เขาผู้หายไปจากหมู่บ้านอย่างปริศนาในคืนข้างแรม หลังจากวันที่อาคารเรือนหลังนั้นถูกไฟไหม้…

ตีพิมพ์ครั้งแรกสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับที่ ๒๐ วันศุกร์ที่ ๗ - วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๘