วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กชายหาปลาแห่งสาละวิน”
สุมาตร ภูลายยาว

หาดทรายสีน้ำตาลทอดยาวไปตามริมฝั่งลำน้ำ เป็นเสมือนการเริ่มต้นบทละครแห่งการจากพรากของฤดูกาล สายน้ำเชี่ยวยิ่งกว่าหน้าฝนที่ผ่านมา ไอหมอกระรื่อระบายสีขาวเหนือสายน้ำ เสียงไม้พายเรือตกกระทบกับสายน้ำจากแรงคนดังมาแผ่วเบา ความหนาวเย็นไม่จางหายไปจากยามเช้าของฤดูหนาว แต่ในความหนาวเย็นนั้นมันกลับปลุกห้วงหัวใจของคนบางคนให้ตื่นขึ้นมา
ปรีชาเด็กชายวัย ๑๑ ขวบกำลังอยู่บนเรือลำนั้น ซึ่งขณะนี้มันค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนสายน้ำด้วยความเชื่องช้า ด้วยแรงพายที่มีเพียงน้อยนิดของปรีชา เรือจึงไม่สามารถที่จะไปได้เร็วกว่านี้ บนเรือลำนั้นนอกจากจะมีปรีชาแล้วยังมีอเนกเด็กชายวัยใกล้เคียงกันกับปรีชา ทั้งสองคนกำลังเดินทางออกสู่สายน้ำแห่งพรมแดนที่พวกเขาคุ้นเคย
แม้ว่าจะหนาวเหน็บอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายทั้งสองจะคุ้นชินกับความหนาวเย็นนั้น อาจเป็นเพราะทั้งสองเกิดในหมู่บ้านริมฝั่งน้ำ พวกเขาจึงคุ้นชินกับสายน้ำที่เก็บความหนาวเย็นของมันเอาไว้ตลอดเวลา
จุดหมายปลายทางของอเนกและปรีชาอยู่ตรงแก่งหินที่ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำข้างหน้า ที่ตรงนั้นมันมีจา (อวน) ดักปลารอพวกเขาอยู่ การเริ่มต้นของการเป็นคนหาปลาของทั้งสองคนในวันที่ความหนาวมาเยือนจึงเกิดขึ้นในวันนี้
เรือลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายของมันอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหมายตรงที่มีเครื่องมาหาปลาของพวกเขารออยู่ อเนกก็กลายมาเป็นนายท้ายเรือไปโดยปริยาย ส่วนปรีชาเป็นคนที่ต้องทำหน้าที่ของพรานปลาผู้จะต้องนำปลาที่ติดอยู่ในอวนดักปลาของเขาขึ้นมาจากน้ำ
ในยามที่สายน้ำยังคงไหลเอื่อยไปอย่างช้าๆ ชั่วขณะแห่งการเดินทางของเรือกับคนออกจากท่าสู่แม่น้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของทั้งสองคนคิดอะไรอยู่ พวกเขาคิดถึง ความสุข, ความทุกข์,ความเศร้า,หรือแม้แต่ดีใจ,เสียใจ การแสดงออกซึ่งอาการเหล่านั้นบางครั้งมันไม่ได้แสงดออกมาทางร่างกาย แต่มันกับถูกเก็บงำไว้ภายใต้ความเยาว์ของพวกเขา
ปรีชายกปลาตัวหนึ่งที่เพิ่งปลอดออกมาจากตาข่ายส่งมาให้อเนกซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ท้ายเรือ ปลาสีดำตัวนั้นแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มันก็คงสร้างความดีใจแห่งกับทั้งสองได้พอสมควร เพราะว่าตอนนี้บนฝั่งมีคนรอซื้อปลาจากพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว ในห้วงยามอย่างนี้ปรีชาและอเนกคงคิดถึงขนมหลากสี ซึ่งกำลังจะได้มาจากการแลกเปลี่ยนด้วยปลาตัวนี้ หรือว่าบางทีพวกเขาอาจไม่ได้คิดถึงขนมหลากสี แล้วพวกเขาจะคิดถึงอะไรกันเล่า.......
ทั้งสองคนอาจจะไม่รู้จักไก่ทอด KFC และอาหารจานด่วนสีสันหลากตาหรือแม้แต่สุกี้รสเลิศ แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้ว่า ในยามใดต้องหาปลาด้วยวิธีการอย่างไร และปลาที่ได้เป็นปลาชนิดไหน ทำอาหารอะไรอร่อย แน่นอนพวกเขาย่อมรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะพวกเขาเป็นคนหาปลานั่นเอง
ชีวิตของปรีชาและอเนกไม่ใช่เรื่องราวที่เด็กคนอื่นหรือแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนจะจับต้องไม่ได้ เพราะเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องราวชีวิตของคนที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านริมแม่น้ำ ซึ่งยังคงหลงใหลอยู่กับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีสายน้ำเป็นแม่ และมีภูเขา ป่าไม้เป็นพ่อ หากเปิดดวงตาก็จะมองเห็น หากเปิดหัวใจเรื่องราวของพวกเขาก็จะพุ่งทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจได้ไม่ยาก
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แสงแดดของยามเช้าเริ่มส่องประกายเล็ดลอดไอหมอกออกมา เรือและคนหาปลาก็เริ่มเดินทางกลับมายังฝั่งอีกครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ปลุกดวงใจน้อยๆ ของทั้งสองให้ตื่นขึ้นมารับกับยามเช้าที่สดใสอีกหนึ่งวัน แต่พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้ว่า ร้อยยิ้มแบบนี้จะกลับมาอีกหือเปล่า เพราะปลาใช่ว่าจะหาได้ทุกวัน การออกเรือไปหาปลาก็เหมือนกับการฝากชีวิตไว้กับการเสี่ยงโชค เพราะปลามันว่ายวนเวียนอยู่ในแม่น้ำซึ่งกว้างใหญ่ ถ้าวันไหนได้ปลาก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ปลาก็ต้องบอกว่า พรุ่งนี้เอาใหม่นั่นเอง
“ผมหาปลาอยู่ริมฝั่งใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เพราะถ้าเป็นฝั่งโน้น (พม่า) น้ำแรงไม่กล้าไป แต่ถ้าไปกับพ่อไปอยู่ วันนี้ได้ปลาด้วย ตอนเย็นก็ต้องได้อีก” ปรีชาบอกกับคนที่เฝ้ารอซื้อปลาจากเขาที่อยู่บนฝั่งด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น ก่อนที่เขาจะยิ้มเริงร่าอวดฟันหลอหลายซี่ของตัวเอง

ตีพิมพ์ครั้งแรก เสาร์สวัสดี ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๘

ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กชาย-สายน้ำ-วัยเยาว์”
สุมาตร ภูลายยาว

ข้าพเจ้านั่งนิ่งคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อยทั้งมีสาระ-ไร้สาระ ขณะสายตาเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้า ข้างหน้านั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งปรากฏอยู่ ตะวันบ่ายคล้อยลงไปแล้ว ต้นเสี้ยวริมฝั่งน้ำทอดเงาขนานไปกับบันไดทางลงไปสู่แม่น้ำ เสียงเด็กดังขึ้นมาจากสายน้ำทำให้ต้องหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ลง ข้าพเจ้ามองไปยังที่มาของเสียง แล้วจึงพบว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของเด็กชายสองคน ขณะเฝ้ามองเด็กทั้งสองเริงร่าอยู่ในสายน้ำ ข้าพเจ้าก็หวนระลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ของตัวเอง...
ทุกครั้งที่หวนระลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ เหมือนว่าเรื่องราวเหล่านั้นได้พาเราเดินทางไปสู่หน้าสมุดบันทึกที่เก็บงำเรื่องราวต่างๆ ไว้ในลิ้นชักของความทรงจำ ในวัยเยาว์ข้าพเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายทั้งสองคนในขณะนี้
เด็กชายผู้เป็นเงาร่างของวัยเยาว์ บ่ายคล้อยหลังเลิกเรียน ทั้งสองมักมุ่งหน้าสู่แม่น้ำ เมื่อมาถึงท่าน้ำทั้งสองก็เดินลงไปตามขั้นบันได หน้าแล้งน้ำในแม่น้ำใหญ่ลดระดับลง บันไดทุกขั้นอันเป็นทางลงไปสู่แม่น้ำจึงโผล่พ้นน้ำ ขณะทั้งสองค่อยๆ ก้าวเดินไปตามขั้นบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้าระมัดระวังนั้น ความจริงแล้ว บันไดแต่ละขั้นหากไม่เปรียบเปรยจนเกินเลยนัก มันก็คือการก้าวเดินไปสู่ช่วงวัยของคนเรานั่นเอง ถัดจากเด็กทั้งสองไปมีสุนัขพันทางสีดำตัวหนึ่ง บัดนี้มันกำลังเดินตามทั้งสองลงมาอย่างเงียบเชียบ...สุนัขตัวนั้นบางทีเจ้าของมันอาจเป็นคนใดคนหนึ่งในสองคน
เย็นย่ำอาทิตย์เริ่มคลี่คลายผ่อนแสง แดดผีตากผ้าอ้อมบนฉากฟ้าตะวันตกใกล้จางหายไป ในที่ไกลออกไปจากทั้งสอง บนท้องน้ำอันแคบหดสั้นลงในหน้าแล้ง ขบวนเรือแข่งรอบชิงชนะเลิศประเภทเรือยาว ๒๐ ฝีพายกำลังจะออกจากจุดเริ่มต้น ฝีพายแต่ละคนต่างจ้วงพายเป็นจังหวะตามที่ซ้อมกันมา เรือพุ่งไปข้างหน้าตามแรงพาย เสียงกองเชียร์ดังไปทั่วท้องน้ำ ว่ากันว่านี่คือวิถีหนึ่งของคนกับน้ำที่ไม่เคยแยกขาดจากกันอย่างถาวร
เมื่อทั้งสองเดินลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพียงเท้าแรกสัมผัสกับน้ำ รอยยิ้มละไมก็ปรากฏขึ้นมา เติ้ลชักเท้ากลับอย่างรวดเร็วเมื่อเท้าข้างขาวสัมผัสน้ำเพียงนิดเดียว เพราะแม้จะเป็นหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำยังดำรงไว้ซึ่งความเย็นไม่ต่างจากหน้าหนาว ไม่นานนักพอทั้งสองลงว่ายเล่นในน้ำจนคุ้นชินแล้ว สุนัขสีดำตัวนั้นถูกกอดรัด และบังคับขู่เข็ญกึ่งจูง กึ่งลากให้ลงสู่แม่น้ำ สุนัขพยายามดิ้นรนมากเท่าใด มันก็ยิ่งโดนรัดรึงด้วยมือทั้งสี่มากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดทั้งสุนัขและคนก็ลงไปลอยคออยู่ในน้ำ
ผู้ใหญ่บางคนเคยบอกเอาไว้ว่า เด็กเชียงของเกิดกับแม่น้ำของ--โขงต้องรู้จักแม่น้ำสายนี้ไม่มากก็น้อย ในหนึ่งครั้งของชีวิตต้องได้กระโจนลงไปแหวกว่ายในแม่น้ำสายนี้ การได้ลงแหวกว่ายในแม่น้ำจึงว่าถือเป็นการเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ในการเป็นลูกน้ำของ
เสียงน้ำกระเพื่อมจากแรงตีของเด็กชายทั้งสองดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่า บางครั้งทั้งสองก็ดำผุดดำว่ายวนเวียนกลับไป-กลับมาระหว่างแม่น้ำกับริมตลิ่ง เนิ่นนาน...เด็กทั้งสองจะขึ้นมายืนบนริมตลิ่งแล้วเฝ้ามองเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปบนสายน้ำ
ในบางเรื่องราวของแม่น้ำ เด็กๆ อย่างทั้งสองอาจไม่เข้าใจมันมากนัก แต่เพราะความเยาว์พวกเขาได้ถูกปล่อยให้เรียนรู้เรื่องราวของแม่น้ำด้วยตัวเอง แม่น้ำได้หล่อหลอม และขัดเกลาเด็กชายแห่งสายน้ำทั้งสองให้กล้าแกร่งด้วยการดำผุดดำว่ายวันแล้ววันเล่า จนกว่าหน้าแล้งจะผ่านพ้นไป...
เด็กทั้งสองกลับขึ้นมายังริมตลิ่งด้วยเสื้อผ้าเปียกปอน และค่อยๆ ขึ้นมาตามขั้นบันไดที่ทอดยาวลงไปสู่แม่น้ำ บัดนี้โรงเรียนแม่น้ำได้สอนพวกข้าพเจ้าให้เข้าใจในบทเรียนนอกตำราเรียนอันหาเรียนที่ใดไม่ได้อีกแล้วในโรงเรียน...
ว่ากันว่าแม่น้ำสายนี้คือโรงเรียนที่ไร้ครูสอน และไม่จำเป็นต้องกางหน้ากระดาษใดๆ มาจดบันทึก การจมน้ำและกลืนน้ำเข้าไป ๓-๔ อึก คือการบันทึกความทรงจำที่ยากลืมลง เช่นกัน ในวัยเด็ก ข้าพเจ้าเคยจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำลึก ครั้งนั้นแทบเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ แต่บทเรียนในครั้งนั้นก็สอนให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า แม่น้ำอันตรายเสมอสำหรับเรา และถ้าเราน้อมกายค้อมคารวะแม่น้ำด้วยความรัก เราก็จะรู้ว่า ในการเดินทางไปสู่ความทรงจำที่กล่าวมานั้น เราล้วนอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการเป็นอยู่และการจากไป...
หน้าแล้งสายน้ำของยังคงไหลหล่อเลี้ยงผู้คนเช่นหลายร้อยปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันผู้คนก็ได้เข้าใจสายน้ำมาแล้วหลายชั่วอายุคนเช่นกัน
บางคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า แม่น้ำจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อแม่น้ำโกรธเกรี้ยว นั้นคงไม่ผิดปาบนักที่จะกล่าวเช่นนั้น เพราะเมื่อหน้าฝนมาเยือน สายน้ำจะโถมทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อการไหลอย่างอิสระ
น้ำเดินทางไกลมาให้คนได้ใช้ประโยชน์มาหลายปีดีดัก แล้วเราผู้ได้รับความเอื้ออาทรจากสายน้ำ เราได้ทำอะไรเป็นการตอบแทนสายน้ำแล้วหรือยัง...
ทีกับเติ้ลเดินขึ้นบันไดอันสูงชันทอดตัวขึ้นไปยังริมฝั่งน้ำบนแผ่นดินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าอาบอิ่มด้วยรอยยิ้ม สุนัขพันทางสีดำตัวนั้นวิ่งเหยาะๆ ตามทั้งสองขึ้นไป จุดหมายปลายทางของเรื่องเล่าในวัยเยาว์ของแต่ละคน แต่ในวันนี้ทีกับเติ้ลได้ร่วมกันสร้างเรื่องเล่าของพวกข้าพเจ้าขึ้นมา เรื่องเล่าวัยเยาว์ของเด็กชายแห่งสายน้ำ
เมื่อเด็กทั้งสองเดินขึ้นไปถึงถนนและเดินลับหายจากสายตาไป ข้าพเจ้าค่อยๆ รูดม่านความคิดในวัยเยาว์ลงอย่างช้าๆ ก่อนหันหน้าสบตากับความว่างเปล่าในเงาไหวของใบไม้ริมฝั่งน้ำ
เรื่องราวของเด็กชายแห่งสายน้ำได้จบลงแล้วพร้อมๆ กับรอยทรงจำบางรอยที่เผยออกมาและเดินทางพลัดหลงไปสู่วิมานแห่งความเงียบงันอย่างช้าๆ เนิ่นนาน...
แดดผีตากผ้าอ้อมจากหายลับแนวดอยหลวงไปแล้ว สายน้ำเย็นเยียบลงกว่าเดิม เด็กชายทั้งสองกระโจนขึ้นจากน้ำ หลังดำผุดดำว่ายเนิ่นนาน เวลาแห่งการเรียนรู้สำหรับลูกชายแห่งสายน้ำของสำหรับทั้งสองในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับเรือพายในงานประเพณีแข่งเรือลำสุดท้ายเดินทางเข้าสู่เส้นชัยอย่างช้าๆ นาฏกรรมเหนือลำน้ำได้สิ้นสุดการเริงร่าลงเช่นกัน...



ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กดีแห่งนู่เจียง”
สุมาตร ภูลายยาว


ใครเล่าที่ไม่เคยคิดบ้างว่า วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปมักนำพาคนเรากลับไปสู่ความร้าวรานและความยินดีได้ในเวลาไม่ตางกัน เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบางทีขมขื่น-บางทีเจ็บลึกยิ่งกว่าการเหวี่ยงค้อนจากมือข้างหนึ่งฟาดลงพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง นั้นแหละคือความเจ็บร้าวที่เดินทางมาถึงอย่างไม่ได้ตั้งตัวและตั้งใจ
มึดาก็เช่นกัน มึดาเด็กหญิงในวัยที่ความเป็นเด็กหญิงใกล้ลาจากไป ความเจ็บร้าวของเธอมีมากกว่า –กว่าการเหวี่ยงค้อนจากมืออีกข้างหนึ่งพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่งของตัวเอง ความเจ็บร้าวของมึดาไม่อาจรักษาได้ด้วยวันเวลา แต่ความเจ็บร้าวของมึดาจำต้องรักษาด้วย.....
เรื่องราวความเจ็บร้าวของมึดาเริ่มขึ้นมาเมื่อเธอลื่มตาตื่นและส่งเสียงร้องทักทายผู้ให้กำเนิด-พร้อมๆ กับการเดินทางไกลของสายรกของเธอที่ถูกตัดขาดแล้วเก็บงำไว้ในกระบอกไม้ไผ่ได้ถูกนำไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่า-มันคือประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนบนความเชื่อของเผ่าพันธุ์
มึดาถือกำเนิดในชุมชนในป่า เรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอจึงเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของเธอ และมันไม่ใช่ความผิดของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดที่ให้เธอมากำเนิดในท้องของมารดาที่อาศัยอยู่ในผืนป่า เธอไม่เคยโทษใคร แต่บางครั้งน้ำตามันก็ไหลหลั่งออกมาเหมือนสายน้ำในถิ่นที่ให้กำเนิดของเธอไหลหลั่งในยามหน้าฝน
ในวัยเยาว์มึดาไม่เคยทุกข์กับเรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอในตอนนี้ แต่เมื่อเลยวัยเยาว์มาแล้ว ความเจ็บร้าวก็เดินทางมาสู่เธออย่างอยากที่จะผลักใสมันออกไป ความเจ็บร้าวที่ว่า
มึดาไม่ใช่ผู้สร้าง แต่หนทางแห่งชะตากรรมกลับนำมึดาไปสู่หนทางแห่งความเจ็บร้าว
มันนานมาแล้วที่เธอเคยได้ยินเรื่องราวของเธอจากปากของใครบางคน เรื่องราวนี้มันไม่สู้จะดีนัก ใครบางบอกกับมึดาว่า เธอไม่ใช่คนไทย เธอเกิดกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คนไทย ในวัยเยาว์เธอไม่เคยเข้าใจหรอกว่า คนไทยคืออะไร แต่ในความเข้าใจของเธอ-เธอคือปกากะญอ-ที่แปลว่าคน
สายน้ำยวมยังไหลเชี่ยว ดุจเดียวกันกับวันวัยของเธอที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวัยเด็กก็ก้าวเข้าสู่วัยของเด็กสาว ในเรื่องราวชีวิตที่เธอไม่ได้ลิขิต แต่เธอกับเป็นผู้เล่นกับมันอย่างอาจหาญ นานเท่าใดแล้วที่เธอเล่นกับชะตากรรมอันนี้ ๓ปีหรือว่า ๔ ปีกันแน่ แต่เรื่องราวที่เธอเล่นกับมัน-มันไม่เคยผันแปร
ในวันเด็กของปีที่ผ่านมา เธอคือคนที่ก้าวพาดวงใจของเธอกลับไปสู่ความร้าวราน บ้านที่จากมาด้วยรอยน้ำตาและมันก็อ้าแขนรอรับการกลับของรอยน้ำตาเช่นกัน วันนั้นฉันจำเรื่องราวของเธอได้ดี เธอเป็นหนึ่งในเด็กหญิง-ชายหลายคนที่ร่ำไห้ในวันเด็ก ความเยาว์ของเธอมันไม่เคยสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ก้าวตามเทคโนโลยีที่เขาบอกว่าเธอต้องเท่าทัน
ในวันเด็กปีนี้ก็เช่นกัน มันเป็นวันที่เธอได้รู้ว่า เด็กไทยต้องขยันเรียน-ขยันอ่าน-กล้าคิด-กล้าพูด แต่คำพูดเหล่านั้นมันเหมือนกับว่าเป็นปุยนุ่นบางเบาที่ลอยเคว้งไปตามสายลมแล้ง แม้เธอจะกล้าพูด-กล้าคิดเพียงใด แต่เรื่องราวที่เธอเล่าขานออกมากลับลาร้างเป็นอย่างเดิม
คำตอบของคำถามของเธอ-มันอยู่ในสายลม-สายลมที่ไขว่คว้าเอามาไม่ได้
แม้วันเด็กจะสนุกสนานอย่างไร ลึกๆ ลงไปในดวงใจดวงน้อยๆ เท่าหนึ่งกำปั้นของตัวเองของเธอมันกลับอับเฉา-เหงา-เศร้า
มึดาก้าวขึ้นมาบนเวทีแสดงของแสงสีในเวลาค่ำคืนที่ดาวตื่นเต็มฟ้า เธอนำพาดวงตาและดวงใจดวงน้อยๆ ของอีกหลายคนไปสู่ความรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ความนัยนั้นเล่า เธอต้องการป่าวประกาศให้โลกและสายน้ำที่เธอจากมาได้รับรู้ว่า บรรดาเพลงที่เธอร้องก้องฟ้าทุกเวลานั้น มันไม่มีบทเพลงใดยิ่งใหญ่เท่ากับเพลงชาติไทย แต่ไฉนเล่า พวกเขาถึงกล่าวกันว่า ผู้ให้กำเนิดเธอไม่ใช่คนไทย เธอจึงยังไม่ได้สัญชาติไทย
ลึกลงไปในดวงตาของเธอ-ลึกลงไปในสายน้ำที่ไหลล่อง สายน้ำไม่เคยแบ่งคนออกไปฝ่าย สายน้ำไม่เคยกั้นความสัมพันธ์ของกันและกันของผู้คน แต่สายน้ำได้ย้ำเตือนให้ผู้คนรักกันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปได้ให้อะไรเธอมากมาย-มากมายเสียเกินกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะเข้าถึงมัน กับวันเวลาที่ยังเหลือ จงอย่าเบื่อและสู้ต่อไป ในไม่ช้าการมาของสัญชาติไทยจะได้เป็นของเธอมึดา