วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ความเรียง

เชียงคาน: เมืองแห่งแม่น้ำสามสาย
สายลมแล้งของเดือนมีนาคมพัดมาเฉื่อยช้า แดดยามสายร้อนจนคนศีรษะล้านไม่อยากเดินผ่านแดด ฉันนั่งจ่อมจมอยู่กับความเรื่อยเฉื่อยรอเพื่อนร่วมทาง วันนี้เรานัดหมายกันเดินทางสู่บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ยามเช้าที่ได้ปลดปล่อยอยู่กับความเรื่อยเฉื่อย เหมือนว่าชีวิตไร้พันธนาการจากเวลา นานแล้วที่ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างนี้ เบื้องหน้าของฉันคือแม่น้ำโขง ฤดูแล้งน้ำลดลงจนตลิ่งสูงขึ้นมา อารมณ์นั้นฉันคิดถึงคำงายจากตลิ่งสูงซุงหนักขึ้นมาฉับพลัน ถัดจากตลิ่งลงไป คนหาปลา ๓-๔ กำลังสาละวนวิดน้ำออกจากเรือ เช้านี้พวกเขากำลังจะเดินทางออกสู่แม่น้ำเพื่อหาปลา
กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนริมฝั่งน้ำต่างได้พึ่งพาอาศัยแม่น้ำตลอดมา แม่น้ำจึงเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางคนหาปลา บางคนทำเกษตรริมน้ำ บางคนมีเรือพานักท่องเที่ยวล่องเรือชมแม่น้ำ นอกจากจะมีความสำคัญเชิงระบบนิเวศแล้ว แม่น้ำยังมีความสำคัญในด้านอันก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร และเศรษฐกิจของชุมชนอีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อ ๒ วันที่ผ่านมา ฉันมาถึงอำเภอแห่งนี้ในยามค่ำคืน แต่กว่าจะมาถึงก็เหนื่อยไปตามๆ กัน เพราะความที่คณะเดินทางของเราไม่มีใครรู้เส้นทางจึงอาศัยดูแผนที่ทางหลวง แต่เอาเข้าจริงๆ แผนที่ทางหลวงก็ทำพวกเราหลงทาง แต่แปลกการหลงทางไม่มีใครบ่นอะไรสักคำเดียว ทุกคนกลับยินดีด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นการหลงทางบนถนนเลียบริมแม่น้ำโขงเส้นที่สวยที่สุดเส้นหนึ่ง
ในคณะเดินทางของเราไม่มีใครเลยเคยมาถึงอำเภอแห่งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับอำเภอแห่งนี้ก็มีน้อยเต็มที หากเทียบกับการเดินทางครั้งก่อน แต่ก็นั้นแหละ เพราะความไม่เคยชินกับถนนหนทาง คณะของเราจึงหลงทางที่เรียกว่าพร้อมใจกันหลง และมีความสุขกับการหลงทาง แม้ว่าการหลงทางจะเป็นการเสียเวลาก็ตาม หากมองลึกลงไปในรายละเอียดของการเดินทางครั้งนี้ คณะเดินทางของเราตัดสินใจร่วมกันแล้วว่า พวกเราจะเอาใจใส่กับเวลาให้น้อยที่สุด
แล้วการเดินทางอันยาวนานก็สิ้นสุดลงเมื่อรถเคลื่อนสู่ตัวอำเภอเชียงคาน ปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้...
แก่งคุดคู้-คนเชียงคาน, วันวาร-วันนี้
“แก่งคุดคู้” แก่งหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขวางลำน้ำโขงในช่วงที่ไหลผ่านอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้วยสภาพธรรมชาติที่ประกอบด้วยกลุ่มก้อนหินสีดำขนาดมหึมา ในยามที่น้ำไหลกระทบจะก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น
คนเชียงคานในอดีตก็เกิดความสงสัยในความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ผู้เฒ่ารุ่นก่อนจึงได้สร้างตำนาน “จึ่งคึงดังแดง” ขึ้นมาเพื่ออธิบายความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของน้ำโขงในบริเวณนี้ ตามตำนานกล่าวว่า
นานมาแล้วมีนายพรานชาวลาวคนหนึ่งชื่อตาจึ่งคึง นายพรานผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีจมูกสีแดงใบโต ซึ่งรูจมูกนั้นกว้างมากในยามที่ตาจึ่งคึงนอนหลับ เด็กๆ ได้แอบเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูก จึงมีคำกล่าวเป็นภาษาเลยว่า “จึ่งคึงดังแดง นอนตะแคงจุฟ้า เด็กน้อยเล่นสะบ้าอยู่ในฮูดัง”
ตาจึ่งคึงเป็นผู้มีความสามารถในการล่าเนื้อป่า (สัตว์ป่า) และเนื้อน้ำ (สัตว์น้ำ) ความเก่งกาจของเขาเป็นที่เลื่องลือไปไกลในทั่วสารทิศ บ่ายวันหนึ่งในขณะที่ตาจึ่งคึงกำลังหาปลาอยู่ริมแม่น้ำโขงได้แลไปเห็นควายเงินตัวใหญ่มากินน้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยความปรารถนาที่อยากจะกินเนื้อควายสีเงินตัวนี้ ตาจึ่งคึงจึงซุ่มดักยิงควายเงินอยู่ที่พุ่มไม้ริมน้ำ ในระหว่างที่เขากำลังเหนี่ยวไกปืนได้มีเรือสินค้าแล่นมาจากทางใต้ ควายเงินเห็นเรือสินค้าเกิดตกใจวิ่งหนีเข้าป่า ตาจึ่งคึงจึงยิงพลาดเป้า ด้วยความโกรธพ่อค้าที่เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถล่าควายเงินได้ ตาจึ่งคึงจึงยิงปืนไปที่ภูเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำฝั่งลาวเพื่อระบายความโกรธ ด้วยความแรงของกระสุนปืนทำให้ยอดเขานั้นขาดวิ่นไป ซึ่งในเวลาต่อมาภูเขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า “ผาแบ่น” และหมู่บ้านในฝั่งไทยที่อยู่ตรงข้ามก็ถูกเรียกว่า “บ้านผาแบ่น” (แบ่น หมายถึง เล็ง)
ไม่เพียงเท่านี้ตาจึ่งคึงได้หาวิธีที่จะทำให้เรือสินค้าไม่รบกวนการล่าสัตว์ของเขา โดยตาจึ่งคึงได้นำก้อนหินจากภูเขามากั้นลำน้ำไว้ เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงคิดว่าถ้าหากตาจึ่งคึงนำหินมากั้นน้ำโขงได้สำเร็จคงจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนและสัตว์ที่อาศัยน้ำโขงในการดำรงชีพและเป็นเส้นทางสัญจรไปมา เณรน้อยจึงได้ออกอุบายให้ตาจึ่งคึงนำไม้ไผ่มาทำเป็นไม้คานใช้ในการหาบก้อนหิน เพราะการทำเช่นนี้จะใช้เวลาน้อยกว่าถือหินไปที่ละก้อน ตาจึ่งคึงหลงเชื่อกลอุบาย จึงนำไม้ไผ่มาทำเป็นไม้คานหาบก้อนหิน ในระหว่างที่หาบไปนั้นไม้คานเกิดหัก ความคมของไม้คานซึ่งเป็นไม้ไผ่ได้บาดคอตาจึ่งคึงถึงแก่ความตาย ร่างของตาจึ่งคึงนอน ตายในลักษณะคุดคู้ บริเวณที่เขานำก้อนหินมากั้นน้ำไว้จึงได้ชื่อว่า “แก่งคุดคู้”
ส่วนควายเงินในเวลาต่อมาได้ตายลงชาวบ้านได้นำเนื้อส่วนหนึ่งมาผ่าแบ่งกัน บริเวณที่ชาวบ้านนำเนื้อควายมาผ่าแบ่งกันนั้นได้ชื่อว่า “ห้วยน้ำปาด” ในเขตอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ส่วนซากควายเงินที่เหลือนั้นได้กลายเป็นภูเขาใหญ่อยู่บริเวณทางทิศใต้ของแก่งคุดคู้มีชื่อว่า “ภูควายเงิน”
แม่น้ำโขงนับตั้งแต่แก่งคุดคู้ลงไปทางทิศตะวันออกจนถึงอำเภอปากชมจะเต็มไปด้วยเกาะแก่งหินมากมาย ซึ่งนอกจากแก่งคุดคู้แล้วยังมีแก่งฟ้า แก่งจันทร์เป็นแก่งที่สำคัญอีกด้วย สภาพระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนของแก่งเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของปลา และสัตว์น้ำนานาชนิด ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม น้ำในแม่น้ำโขงเริ่มลด เผยให้เห็นบรรดาเกาะแก่งต่างๆ มากมาย ซึ่งชาวบ้านได้ใช้เกาะแก่งเหล่านี้เป็นพื้นที่ในการหาปลา
ด้วยความที่เมืองเชียงคานมีปลาอยู่มาก และรสชาติดีจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปทั้งชุมชนที่อยู่ในบริเวณริมน้ำโขง และชุมชนที่อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณแม่น้ำสาขา เมื่อชาวเชียงคานจับปลาน้ำโขงได้ก็จะนำมาแปรรูปเป็นปลาร้า ปลาส้ม ปลาจ่อม ปลาแห้งไว้กินในครัวเรือน และนำเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่นที่อยู่ไกลแม่น้ำโขงออกไป โดยใช้เส้นทางหลักในการสัญจรแลกเปลี่ยนสินค้าคือ “แม่น้ำเลย” แม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขงในบริเวณนี้
แก่งคุดคู้ และวิถีชีวิตของคนเชียงคานเริ่มเปลี่ยนแปลงจาก “ยุคหาอยู่หากินเป็นยุคหาซื้อหาขาย” ในช่วงประมาณทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา เมื่อมีนายทุนเหมืองแร่เข้ามาจับจองที่ดินริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณแก่งคุดคู้ การเข้ามาของนายทุนได้ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่ดินในการปลูกฝ้ายเหมือนเช่นเคย และนอกจากนี้นายทุนได้สร้างบ้านพักและได้ตัดถนนเข้าสู่ตัวแก่ง ซึ่งได้ทำให้ความงดงามตามธรรมชาติของแก่งคุดคู้เป็นที่ประจักษ์แก่คนภายนอก
เมื่อมีคนภายนอกเข้ามาเที่ยวชมมากขึ้น ชาวบ้านน้อยชุมชนบริเวณใกล้เคียงจึงได้ช่วยกันตัดต้นไม้ ถางหญ้าปรับปรุงพื้นที่ และได้ทำอาหาร เครื่องดื่มมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว เป็นต้นว่า ส้มตำ กุ้งเต้น ถั่วลิสงคั่ว น้ำมะพร้าว น้ำอ้อย ฯลฯ ในเวลาต่อมาทางราชการมีความเห็นที่จะพัฒนาแก่งคุดคู้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด จึงได้เข้ามาดำเนินการในการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ร้านจำหน่ายสินค้า จุดชมวิว ลานจอดรถ ห้องน้ำ เป็นต้น
อาชีพที่ทำรายได้ให้กับชาวบ้านอีกอย่างคือ การขับเรือนำเที่ยวล่องแม่น้ำโขง ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ขับเรือนี้ในอดีตคือพรานปลาผู้คุ้นเคยกับแม่น้ำมาเป็นอย่างดี ซึ่งนับตั้งแต่แก่งคุดคู้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นต้นมา พรานปลาเหล่านี้ได้หาปลา และขับเรือควบคู่กันไปด้วย โดยรายได้จากการขับเรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ถึงวันละ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาทต่อคน
ในปัจจุบันน้ำโขงเมืองเชียงคานได้ซ่อนภาวะวิกฤตหลายอย่างอันเกิดจากการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนบน การขึ้นลงของระดับน้ำโขงที่ผิดปกติได้ส่งผลกระทบวิถีชีวิตคนเชียงคานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวไม่อาจคาดการณ์ฤดูกาลท่องเที่ยวแก่งคุดคู้ตามสภาพธรรมชาติเช่นเดิม ซึ่งได้ทำให้นักท่องเที่ยวผิดหวังเมื่อมาเที่ยวชม ชาวบ้านมีรายได้ลดลงจากเดิม ร้านอาหาร ที่พักเริ่มเงียบเหงา
แม่วรรณ เครือทองศรี ได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “น้ำโขงเดี๋ยวนี้มันขึ้นเร็ว ลงเร็วไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนช่วงหลังปีใหม่ไม่นานมันไม่ลดไปต่ำขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนี้ลดต่ำลงมาก บางวันเขาปล่อยน้ำมามันก็มา คนที่เคยมาเที่ยวเขาแปลกใจ พ่อค้า แม่ค้าที่เคยค้าขายขึ้นอยู่กับน้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติก็เดือดร้อนไปด้วย ถ้าเขามาทำอะไรกับแก่งเหมือนที่เคยทำกับด้านเหนือน้ำ คนเชียงคานคงอยู่ไม่ได้ คนเข้ามาเที่ยวเขาก็มาดูหินดูแก่ง ไม่มีหินไม่มีแก่งจะดูอะไร คนเชียงคานจะทำอย่างไร”
ทุกวันนี้แก่งคุดคู้สถานแห่งความสัมพันธ์ระหว่างคนเชียงคานกับแม่น้ำโขงมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้มีลมหายใจที่แผ่วเบาลง และในไม่ช้าคงจะหมดลมหายใจไปพร้อมๆ กับคนเชียงคาน