วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ความเรียง

ในความเยาว์มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
“เด็กดีแห่งนู่เจียง”
สุมาตร ภูลายยาว


ใครเล่าที่ไม่เคยคิดบ้างว่า วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปมักนำพาคนเรากลับไปสู่ความร้าวรานและความยินดีได้ในเวลาไม่ตางกัน เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบางทีขมขื่น-บางทีเจ็บลึกยิ่งกว่าการเหวี่ยงค้อนจากมือข้างหนึ่งฟาดลงพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง นั้นแหละคือความเจ็บร้าวที่เดินทางมาถึงอย่างไม่ได้ตั้งตัวและตั้งใจ
มึดาก็เช่นกัน มึดาเด็กหญิงในวัยที่ความเป็นเด็กหญิงใกล้ลาจากไป ความเจ็บร้าวของเธอมีมากกว่า –กว่าการเหวี่ยงค้อนจากมืออีกข้างหนึ่งพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่งของตัวเอง ความเจ็บร้าวของมึดาไม่อาจรักษาได้ด้วยวันเวลา แต่ความเจ็บร้าวของมึดาจำต้องรักษาด้วย.....
เรื่องราวความเจ็บร้าวของมึดาเริ่มขึ้นมาเมื่อเธอลื่มตาตื่นและส่งเสียงร้องทักทายผู้ให้กำเนิด-พร้อมๆ กับการเดินทางไกลของสายรกของเธอที่ถูกตัดขาดแล้วเก็บงำไว้ในกระบอกไม้ไผ่ได้ถูกนำไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่า-มันคือประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนบนความเชื่อของเผ่าพันธุ์
มึดาถือกำเนิดในชุมชนในป่า เรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอจึงเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของเธอ และมันไม่ใช่ความผิดของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดที่ให้เธอมากำเนิดในท้องของมารดาที่อาศัยอยู่ในผืนป่า เธอไม่เคยโทษใคร แต่บางครั้งน้ำตามันก็ไหลหลั่งออกมาเหมือนสายน้ำในถิ่นที่ให้กำเนิดของเธอไหลหลั่งในยามหน้าฝน
ในวัยเยาว์มึดาไม่เคยทุกข์กับเรื่องราวของความเจ็บร้าวของเธอในตอนนี้ แต่เมื่อเลยวัยเยาว์มาแล้ว ความเจ็บร้าวก็เดินทางมาสู่เธออย่างอยากที่จะผลักใสมันออกไป ความเจ็บร้าวที่ว่า
มึดาไม่ใช่ผู้สร้าง แต่หนทางแห่งชะตากรรมกลับนำมึดาไปสู่หนทางแห่งความเจ็บร้าว
มันนานมาแล้วที่เธอเคยได้ยินเรื่องราวของเธอจากปากของใครบางคน เรื่องราวนี้มันไม่สู้จะดีนัก ใครบางบอกกับมึดาว่า เธอไม่ใช่คนไทย เธอเกิดกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คนไทย ในวัยเยาว์เธอไม่เคยเข้าใจหรอกว่า คนไทยคืออะไร แต่ในความเข้าใจของเธอ-เธอคือปกากะญอ-ที่แปลว่าคน
สายน้ำยวมยังไหลเชี่ยว ดุจเดียวกันกับวันวัยของเธอที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวัยเด็กก็ก้าวเข้าสู่วัยของเด็กสาว ในเรื่องราวชีวิตที่เธอไม่ได้ลิขิต แต่เธอกับเป็นผู้เล่นกับมันอย่างอาจหาญ นานเท่าใดแล้วที่เธอเล่นกับชะตากรรมอันนี้ ๓ปีหรือว่า ๔ ปีกันแน่ แต่เรื่องราวที่เธอเล่นกับมัน-มันไม่เคยผันแปร
ในวันเด็กของปีที่ผ่านมา เธอคือคนที่ก้าวพาดวงใจของเธอกลับไปสู่ความร้าวราน บ้านที่จากมาด้วยรอยน้ำตาและมันก็อ้าแขนรอรับการกลับของรอยน้ำตาเช่นกัน วันนั้นฉันจำเรื่องราวของเธอได้ดี เธอเป็นหนึ่งในเด็กหญิง-ชายหลายคนที่ร่ำไห้ในวันเด็ก ความเยาว์ของเธอมันไม่เคยสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ก้าวตามเทคโนโลยีที่เขาบอกว่าเธอต้องเท่าทัน
ในวันเด็กปีนี้ก็เช่นกัน มันเป็นวันที่เธอได้รู้ว่า เด็กไทยต้องขยันเรียน-ขยันอ่าน-กล้าคิด-กล้าพูด แต่คำพูดเหล่านั้นมันเหมือนกับว่าเป็นปุยนุ่นบางเบาที่ลอยเคว้งไปตามสายลมแล้ง แม้เธอจะกล้าพูด-กล้าคิดเพียงใด แต่เรื่องราวที่เธอเล่าขานออกมากลับลาร้างเป็นอย่างเดิม
คำตอบของคำถามของเธอ-มันอยู่ในสายลม-สายลมที่ไขว่คว้าเอามาไม่ได้
แม้วันเด็กจะสนุกสนานอย่างไร ลึกๆ ลงไปในดวงใจดวงน้อยๆ เท่าหนึ่งกำปั้นของตัวเองของเธอมันกลับอับเฉา-เหงา-เศร้า
มึดาก้าวขึ้นมาบนเวทีแสดงของแสงสีในเวลาค่ำคืนที่ดาวตื่นเต็มฟ้า เธอนำพาดวงตาและดวงใจดวงน้อยๆ ของอีกหลายคนไปสู่ความรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ความนัยนั้นเล่า เธอต้องการป่าวประกาศให้โลกและสายน้ำที่เธอจากมาได้รับรู้ว่า บรรดาเพลงที่เธอร้องก้องฟ้าทุกเวลานั้น มันไม่มีบทเพลงใดยิ่งใหญ่เท่ากับเพลงชาติไทย แต่ไฉนเล่า พวกเขาถึงกล่าวกันว่า ผู้ให้กำเนิดเธอไม่ใช่คนไทย เธอจึงยังไม่ได้สัญชาติไทย
ลึกลงไปในดวงตาของเธอ-ลึกลงไปในสายน้ำที่ไหลล่อง สายน้ำไม่เคยแบ่งคนออกไปฝ่าย สายน้ำไม่เคยกั้นความสัมพันธ์ของกันและกันของผู้คน แต่สายน้ำได้ย้ำเตือนให้ผู้คนรักกันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
วันเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปได้ให้อะไรเธอมากมาย-มากมายเสียเกินกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะเข้าถึงมัน กับวันเวลาที่ยังเหลือ จงอย่าเบื่อและสู้ต่อไป ในไม่ช้าการมาของสัญชาติไทยจะได้เป็นของเธอมึดา

ไม่มีความคิดเห็น: