วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น :
“แมลงในห้องและเสียงร้องอันแปลกประหลาด”
สุมาตร ภูลายยาว

หลังหน้าแล้งผ่านพ้น หน้าฝนก็เข้ามาเยือน ต้นไม้ที่เคยแห้งเฉาเมื่อเดือนเมษายนก็กลับมาเขียวชะอุ่มอีกครั้ง หลายวันมาแล้วที่ฝนตกกระหน่ำลงมา หลังสายฝนหายจากฟ้าสีดำในเย็นวันหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงของมัน ความจริงแล้วมันส่งเสียงของมันมานานแล้ว มันอาศัยอยู่บนต้นไม้สูง ฉันหามันไม่เคยเจอสักทีแม้ต้องการเจอตัวของมันเพียงใดก็ตาม หลายวันที่ฉันตามหามัน เพราะอยากเห็นตัวเป็นๆ ของมัน ฉันเคยสงสัยว่า เวลามันร้องมันทำตัวอย่างไร เสียงของมันจึงได้ออกมาเสียงดังปานนั้น

บ่อยครั้งที่ฉันเฝ้าสอดส่ายสายตาไปตามต้นไม้สูงเพื่อที่จะเฝ้ามองมัน แต่สิ่งที่ฉันเห็นก็เป็นเพียงกิ่งไม้หลายๆ กิ่งเท่านั้นเอง มีบางคนเคยบอกกับฉันว่า มันพลางตัวบนต้นไม้ได้ดี เพราะสีผิวของมันมีลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้ และปีกของมันก็เป็นลายเส้นเหมือนกับเปลือกไม้เช่นกัน ฉันเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างตามความคิดของฉัน เพราะตัวฉันเองยังไม่เคยเห็นมันเลยสักทีแล้วฉันจะเชื่อสิ่งที่คนอื่นพูดได้ยังไง
ในคืนหนึ่งของวันอาทิตย์ ภายหลังที่ฝนจางหายไปแล้ว อากาศเย็นสบาย ฉันจึงขึ้นมาบนห้อง เพื่อปิดหน้าต่าง หลังจากที่ปล่อยให้ลมพัดผ่านเข้ามาในห้องตั้งแต่ตอนเช้า หูทั้ง ๒ ข้างของฉันก็ได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่างอยู่ที่ริมหน้าต่าง เสียงมันดังแจ๊กๆ ติดต่อกันหลายครั้ง เสียงนี้เป็นเสียงที่ฉันเคยได้ยินมาบ่อย และคุ้นเคย ฉันรู้ว่า บัดนี้เจ้าของเสียงกำลังตะกายมุ้งลวดอยู่ข้างนอกใกล้หน้าต่าง ใช่แล้ว! ใช่จริงๆ ด้วย ฉันเผลอส่งเสียงออกไปด้วยความยินดี หลังจากเหลือบไปเห็นเจ้าแมลงตัวหนึ่งที่มีสีสันเหมือนต้นไม้ ซึ่งบัดนี้มันกำลังตระกายมุ้งลวดอยู่
ฉันไม่รู้หรอกว่าในใจของเจ้าแมลงตัวนั้นมันคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดว่า ถ้าหากจับตัวมันเข้ามาปล่อยไว้ในห้องแล้วฟังเสียงมันร้องคงเพราะดี และถ้ามันเข้ามาในห้องจริงๆ จะจับมันมาวาดรูปไว้ให้สมใจอยากเสียที
ฉันว่ามันคงอยากเข้ามาในห้องจริงๆ เพราะมันพยายามใช้ขาทั้ง ๖ ของมันตะกายมุ้งลวดอยู่ตลอดเวลา ที่มันอยากเข้ามาในห้องคงเป็นเพราะในห้องมีแสงไฟสีขาวเย็นตาสว่างโพลนปรากฎอยู่ อารมณ์นั้นฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีครั้นจะไล่มันไปก็เสียดาย ฉันจึงค่อยๆ เปิดมุ้งลวดให้มันบินเข้ามาข้างในห้อง พอมันบินเข้ามา มันก็บินพุ่งขึ้นไปยังข้างฝาห้องใกล้กับประตู แล้วมันก็ขึ้นไปจับอยู่บนนั้นนานหลายนาที จากนั้นห้องทั้งห้องก็เดินทางไปสู่ความเงียบ ไม่มีเสียงใดปรากฎ ไม่มีแม้กระทั่งการเคลื่อนไหว
เนิ่นนานที่ความเงียบเข้าครอบงำห้องทั้งห้อง ฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่ามีแมลงตัวหนึ่งอยู่ในห้องด้วย หลังเอนหลังหลับได้ไม่นาน ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินมันขยับปีกส่งเสียงร้องออก ฉันมองไปที่มันอีกครั้ง คราวนี้ฉันเห็นภาพของมันอย่างเต็มตา เวลามันจะร้อง มันจะค่อยๆ ขยับปีกไปมา ก้นของมันจะกระดิกขึ้นแล้วมันก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมๆ กับปีกทั้งสองข้างของมันก็กางออกไปด้านข้างของลำตัว
ในขณะที่มันตะเบ็งเสียงออกมา ฉันค่อยๆ ลุกขึ้น และเดินไปยังต้นเสียงที่จับอยู่ข้างฝาห้องอย่างช้าๆ ฉันเอื้อมมือหมายไปจับที่ตัวมัน แต่มันอยู่ห่างฉันเหลือเกิน แม้ฉันจะพยายามอยู่หลายครั้งการพยายามก็สูญเปล่า ฉันจึงลงมานั่งคิดอยู่ข้างล่างว่าจะทำอย่างไรจึงจะจับตัวมันได้ เมื่อจับได้แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันดี ปล่อยมันออกไปดีหรือเปล่า หรือว่าปล่อยให้มันอยู่ในห้องต่อไปดี ฉันครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนหลับไปอีกครั้ง
ก่อนจะหลับ ฉันเห็นแมลงตัวหนึ่งมันขัยบปีกบินพุ่งตรงมายังฉัน เมื่อเข้ามาใกล้ มันค่อยๆ ขยายตัวให้ใหญ่ขึ้น หลังจากมาถึงตัวฉันขนาดของมันเท่าเดิม แต่เสียงของมันดังยิ่งกว่าเสียงช้างร้อง ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันจะทำอะไรกับฉันต่อ ขณะความลังเลกำลังดำเนินอยู่ ชั่วการขยับปีกของมัน ร่างของฉันที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันดิ้นรนเพื่อหนีจากเสียงของมันด้วยการเอามือทั้งสองข้างอุดหูทั้งสองเอาไว้ แต่ยิ่งไม่อยากฟังเสียงของมันเท่าใด มันก็ยิ่งส่งเสียงดังมากเท่านั้น ในที่สุดฉันก็หมดลมหายใจ หลังจากหมดลมหายใจ ฉันก็สะดุ้งตื่น ฉันตื่นขึ้นมาในขณะที่ฉันคิดว่าตัวเองตาย...

หลังยามเช้า ฉันก็ลืมเรื่องราวของเจ้าแมลงทั้งที่อยู่ข้างฝาห้องและในความฝันเสียสิ้น แต่ขณะจะก้าวพ้นประตูห้องออกไปข้างนอก ฉันก็นึกขึ้นได้เมื่อได้ยินเสียงของมันขยับปีกบินอีกครั้งหนึ่ง ฉันครุ่นคิดอยู่ในใจว่าเมื่อคืนมันนอนที่ไหน แล้วเช้านี้ฉันน่าจะปล่อยมันไปไหม แล้วเมื่อคืนทำไมฉันต้องจับมันมาด้วยน่าจะปล่อยให้มันอยู่ข้าง แต่ถ้ามันอยู่ข้างนอกแล้วฝนตกละมันจะไม่หนาวหรือเปล่า แล้วมันอยู่ในห้องมันจะไม่ตายหรือไม่ ถ้ามันตายแล้วมดแดงจำนวนมากก็คงจะพากันมาขนเอาศพของมันไป แต่ตอนที่มันตายฉันก็ไม่อาจรู้ได้ว่าศพของมันอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้นั้นแหละฉันจะได้ผจญกับมดแดงตัวเล็กๆ ที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาบนเสื้อผ้า เพื่อเดินทางไปหาซากศพของเจ้าแมลง แล้วฉันก็ค่อยๆ เปิดมุ้งลวดของหน้าต่างในห้องออกช้าๆ ในมือข้างซ้ายของฉันมีเจ้าแมลงตัวนั้น ฉันปล่อยมันออกไป เมื่อมันได้รับอิสระภาพ มันก็โผบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจะมีใครรู้บ้างว่า ที่ฉันต้องปล่อยมันให้บินออกไปนั้นเป็นเพราะอะไร ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องปล่อยมันไป แต่ที่ฉันรู้เมื่อคืนฉันต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะเสียงร้องของเจ้าแมลงตัวนี้อยู่บ่อยครั้งจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาเสียเลย
นอกจากจะนอนไม่ค่อยหลับ และไม่ค่อยได้นอนแล้ว ฉันยังฝันประหลาด ซึ่งเป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉันก็ไม่รู้เช่นกันว่า ทำไมฉันต้องฝันประหลาดเช่นนั้น...
ฉันฝันว่า ตัวเองนอนไม่หลับ โลกทั้งโลกเหมือนจมอยู่กับเสียงร้องของสัตว์บางชนิด เสียงร้องที่ดังอยู่ตลอดเวลาทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งต้องล้มตายลง เพราะทนกับเสียงที่เกินขนาดที่หูทั้งสองข้างจะรับได้ ขณะฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากนัก ยิ่งเนิ่นนานที่เจ้าแมลงบ้านั้นส่งเสียงร้อง ฉันก็เหมือนจะขาดใจตายลงทุกที หูทั้งสองข้างใกล้ระเบิด ฉันจมอยู่ในห้วงของความทรมานที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันจึงดิ้นรนเพื่อหนีไปให้ไกลจกาเสียงนั้น แต่ยิ่งหนี ฉันกลับพบว่า เสียงร้องนั้นมัมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แม้ฉันจะพยายามเอามือทั้งสองข้างอุดรูหูไว้เพียงใด เสียงร้องนั้นมันก็ยังเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ ในที่สุดเลือดก็ค่อยๆ ไหลออกจากรูหูและไหลลงมาตามมือทั้งสองข้าง เมื่อมองเห็นเลือด ฉันตกใจและสะดุ้งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันรีบสำรวจตัวเอง เพราะนึกว่าสิ่งที่มันเพิ่งเกิดขึ้นคือความจริง แต่เมื่อสำรวจตัวเองเรียบร้อย ฉันจึงพบว่า ฉันฝันไปชั่วยามที่หลงระเริงอยู่กับความดีใจ หูทั้งสองข้างก็พลันได้ยินเสียงเหมือนเช่นที่ฉันได้ยินในฝันอีกครั้ง ฉันพยายามตั้งสติและเดินไปเปิดไฟ เพื่อหาที่มาของเสียง ในที่สุดฉันก็พบที่มาของเสียง เสียงร้องทั้งในความฝันและความจริงที่ฉันได้ยิน มันคือเสียงของแมลงตัวที่ฉันเปิดรับมันเข้ามาในห้องเมื่อตอนเย็น ฉันแทบไม่เชื่อว่า เพราะเสียงร้องของแมลงตัวนี้แหละที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับ บางครั้งก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เสียงร้องของมันเดินทางเข้าไปสู่ความฝันอันแปลกประหลาดของฉันอย่างไม่น่าเชื่อ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ฉันจะปล่อยมันไปสู่อิสรภาพของมันดังที่ฉันได้เล่าให้ฟังในตอนต้น

ไม่มีความคิดเห็น: