วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น :
"เดือนดับที่เวียงจัน"
เขียนโดย อุทิน บุนยาวง
ถอดความโดย สุมาตร ภูลายยาว

เขาวิ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อหลบลูกกระสุนจากการสู้รบที่กำลังดำเนินไปอยู่ทั่วทุกแห่งในนครเวียงจัน
บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ในคุ้มสายลม มันเป็นบ้านวิลล่าแบบสมัยใหม่สองชั้นเป็นปูนทั้งหลัง บริเวณลานบ้านโดยรอบกว้างขวางมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ทางเดินปูลาดด้วยซีเมนต์ เขาคิดว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คงจะเป็นเจ้านายใหญ่โตหรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง
เพราะความกลัวตายเขาจึงเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่คิดเกรงใจใครทั้งนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าจะเอาตัวรอดเท่านั้นเอง โคมไฟหน้าบ้านยังส่องสว่างอยู่ แต่หน้าต่างและประตูบ้านปิดสนิทหมดทุกบาน ที่เรือนครัวชายคนหนึ่งกำลังหอบข้าวของเครื่องใช้พะรุงพะรังด้วยอาการเร่งรีบ พอชายคนนั้นเห็นเขา ชายคนนั้นก็หยุดเดินแล้วยืนดูเขาด้วยความแปลกประหลาดใจ
"บ้านเจ้ามีหลุมหลบภัยไหม ผมขอหลบด้วยคนหน่อย"
"มีอยู่ แต่เจ้าต้องบอกกับเจ้าของบ้านก่อน"
"ผมเพิ่งกลับมาจากไปทำธุระระหว่างทางเกิดการยิงกันขึ้นเลยกลับบ้านไม่ได้ ผมขอหลบภัยด้วยคนนะครับ"
ชายคนนั้นเดินไปยังมุมของบ้านด้านเหนือแล้วหยุดอยู่ตรงปากหลุมหลบภัย เขาจึงเดินตามหลังชายคนนั้นไป
"เจ้านายมีคนมา" ชายคนนั้นร้องบอกคนที่อยู่ในหลุมหลบภัย
"ใครละ" เสียงผู้ชายที่อยู่ในหลุมหลบภัยร้องถามออกมา
"ไม่รู้" ชายคนนั้นตอบแล้วก็มุดหัวลงไปในหลุมหลบภัย
เขาก็ติดตามชายคนนั้นไปทันที ภายในหลุมหลบภัยมีเทียนไขอยู่เล่มหนึ่ง แสงของมันสว่างพอที่จะมองเห็นหน้ากันได้ สมาชิกภายในหลุมหลบภัยนั่งรายรอบเทียนไขเล่มนั้นอยู่ สายตาทุกคู่จ้องมายังเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ กว่านั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใส่แว่นตาท่าทางน่านับถือ เขาเอามือทั้งสองข้างซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว สายตาของชายคนนั้นจ้องมองมายังเขาด้วยความไม่เป็นมิตร เขาคิดว่าชายคนนี้คงจะเป็นหัวหน้าครอบครัว
"สงสารผมหน่อยเถอะ ผมก็กลัวตายขอผมหลบด้วยคนนะครับ"
"เจ้าเป็นใคร"
"ผมชื่อบุญเสริม บ้านอยู่โพนไชย ผมเพิ่งไปธุระในเมืองมาตอนขากลับเกิดการสู้รบกันระหว่างทาง เสียงปืนดังมาจากทางบ้านของผม ไม่รู้ว่าป่านนี้คนที่บ้านจะเป็นอย่างไร ผมไม่ใช่คนบ้านะครับ ผมมีหลักฐานนี้ไงบัตรประชาชนของผม"
"มันคงลำบากหน่อยนะ เพราะหลุมนี้มันก็เล็กละแคบด้วย" ชายคนนั้นอ้างเหตุผลด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ
"ยังไงก็ถือว่าทำบุญทำทานแล้วกันครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลยครับ"
ในหลุมนั้นมีคนอยู่ข้างในแล้ว ๖ คนรวมกับเขาเข้าไปอีก ๑ คนก็เป็น ๗ คนพอดี คนที่นั่งถัดจากชายคนใส่แว่นตาไปนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน ต่อจากหญิงวัยกลางคนนั้นไปเป็นเด็ก ๒ คนผู้หญิงกับผู้ชาย ถัดจากเด็ก ๒ คนนั้นไปก็เป็นหญิงสาวอายุประมาณ ๑๘ ปีหนึ่งคน
หญิงสาวคนสุดท้ายนี้เธอสวยและดูดีมีเสน่ห์จึงทำให้หลุมหลบภัยมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ข้างซ้ายของหญิงสาวคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่พาเขาลงมาในหลุมดูท่าทางแล้วคงเป็นคนขับรถประจำครอบครัวนี้ เขานั่งหันหลังให้ปากหลุมซึ่งอยู่ระหว่างคนใส่แว่นตาและคนขับรถ หัวใจของเขาเต้นแรงเพราะความแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
"เจ้าไปคนเดียวหรือ"
"ครับ ผมไปคนเดียว ผมกำลังรอรถแท๊กซี่ก็พอดีเสียงปืนดังขึ้น ผมเรียกรถคันไหนก็ไม่มีคันหยุด ผมก็เลยวิ่งออกมา พอมาถึงบ้านของท่านก็ปรากฏว่ามีเสียงปืนดังอยู่ข้างหน้าใกล้ๆ ผมก็เลยวิ่งเข้ามาบ้านหลังนี้แหละครับ"
"อยู่คุ้มบ้านนี้เจ้าไม่มีพี่น้องเลยหรือ"
"ไม่มีเลยครับ"
"ทำไมไม่วิ่งเข้าบ้านโน้น บ้านฟากถนนโน้นเขามีหลุมใหญ่ๆ หลายหลุม" ชายผู้เป็นหัวหน้าครบครัวกล่าวด้วยเสียงดังขึ้นมา
"ผมรีบเพราะความกลัวตายถึงที่ไหนผมก็เข้าที่นั่นแหละครับ เพราะผมเห็นว่าตรงนี้มันก็เป็นบ้านพอที่จะหลบภัยได้ ผมก็เลยตัดสินใจเข้ามา"
"อย่างไรก็ตามหลุมนี้มันไม่ทนหรอกถูกลูกปืนใหญ่มันก็พังแล้ว เจ้าเห็นไหมบ้านที่อยู่คุ้มตลาดเย็นสีทอนมันก็พังหมดแล้ว"
เขาไม่มีคำถกเถียงเพราะในตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในความเมตตาของเจ้าของบ้าน
"ถ้าเป็นข้าๆ จะกลับไปให้ถึงบ้าน ลูกผู้ชายกลัวอะไร ครั้งก่อนนี้ข้าไปธุระในเมืองเห็นเขายิงกันมาทั้งทางน้ำและทางทุ่งนา ลูกปืนปานห่าฝน ข้ายังพยายามกลับมาจนถึงบ้าน"
"ตอนนั้นมันเป็นตอนกลางวันนะครับ แต่ตอนนี้มันเป็นกลางคืนผมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะกลัวถูกลูกหลง"
"กลางคืนนั้นแหละดีค่อยๆ หลบออกไปไม่มีใครเห็น"
เขาไม่พูดอะไรโต้ตอบกับชายเจ้าของบ้าน เขารู้สึกไม่สบายใจที่มานั่งอยู่กับคนที่ไม่เคยรู้จักและต้องมาถูกต้อนรับด้วยความไม่พอใจ ความคิดที่สับสนได้เดินทางมาในสมองของเขาๆ คิดถึงบ้านไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่พี่น้องจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ป่านนี้คงเสียขวัญกันหมดแล้ว และคงเป็นห่วงเขาที่พัดหลงกันในยามยากเช่นนี้
สงครามครั้งที่แล้วครอบครัวของเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เสียขวัญกันไม่ใช่น้อย เพราะลูกปืนตกลงมาตรงหน้าบ้านพอดี สะเก็ดของระเบิดกระเด็นไปตัดต้นหมากจนหักโค่นลงมา อีกลูกหนึ่งตกลงมาตรงรั้วสังกะสีจนสังกะสีปลิวขึ้นไปค้างอยู่บนกิ่งมะขาม คนที่อยู่ใกล้แถวนั้นโดนปืนตายไปหลายคน แต่ครอบครัวของเขาโชคดีปลอดภัยกันทุกคน แล้วไม่รู้ว่าครั้งนี้โชคดีจะเข้าข้างอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่แน่ใจ เขาคิดถึงภาพที่ไฟกำลังไหม้บ้าน คิดถึงพ่อแม่พี่น้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกลูกปืน เมื่อคิดดังนั้นเขาอยากจะออกวิ่งจากสถานที่แห่งนี้ไปในบัดนั้น
บนพื้นดินในตอนนี้เสียงปืนเบาบางลงแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงปืนใหญ่ดังอยู่เป็นบางครั้ง
"เสียงปืนเงียบไปแล้วการสู้รบคงยุติลงแล้ว" หญิงผู้เป็นเมียเจ้าของบ้านพูดขึ้นมา หลังจากที่เสียงพูดคุยของทุกคนเงียบไปนาน
"ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมตอนนี้ เจ้าก็กลับบ้านของเจ้าเสียไม่ต้องกลัวหรอก"
ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านบอกกับเขาพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วทั้งหลุมเพื่อดูสิ่งของมีค่า เช่น ขันเงิน วิทยุ ดาบโบราณด้ามเงิน หีบสามใบ และเครื่องของที่จำเป็นอื่นๆ อีกซึ่งอยู่ข้างในหลุม
เขาคิดอยู่นิดหนึ่งแล้วหันไปมองหญิงสาวก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นก็เฝ้ามองเขาอยู่เช่นกัน เธอคงสงสารหรือไม่ก็คงเห็นใจเขาอยู่บ้าง เขาอยากจะพูดกับนางสักคำ แต่มันไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่เขาจะพูดกับนาง แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมองดินเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก
แล้วเขาก็ตัดสินใจลาจากที่แห่งนั้น
บนถนนยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่บ้างเล็กน้อย ทุกคนมีอาการปกติไม่เร่งรีบ เสียงปืนยังคงดังอยู่เป็นจุดๆ ท้องฟ้ามืดมัวผิดปกติทั้งที่เป็นวันแรมหนึ่งคำเท่านั้นเอง เขาสังเกตดูเหตุการณ์ต่างๆ เป็นนานสองนานแล้วเขาก็อยากเอามะเหงกเขกหัวตัวเองที่ไม่รอบครอบ
“กบกินเดือนแท้ๆ !” (จันทรุปราคา)
พอพูดเสร็จเขาก็เอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี เขาคิดอยากจะกลับไปบอกความจริงกับครอบครัวนั้น แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าจะเป็นเหตุให้พวกเขาเกิดความละอายใจเสียเปล่าๆ โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นที่ได้แสดงกิริยาที่ไม่เป็นมิตรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขาก็คงรู้เองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดคืออะไร ในขณะที่เดินไปเขาก็คิดถึงใบหน้าหญิงสาวคนนั้นอยู่ไม่หาย เขาอยากให้มันเกิดศึกขึ้นจริงๆ เพื่อว่าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ กับหญิงสาวคนนั้นนานๆ
ทุกวันนี้เขาพบกับเธอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เธอจะยิ้มอย่างอายๆ แต่ในส่วนลึกของหัวใจคงหัวเราะอยู่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็เช่นกันเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นทีไรเขาก็จะหัวเราะออกมาทุกที

--------------------------------------------------------------------


อุทิน บุนยาวง เป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งของประเทศลาวที่เติบโตมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในประเทศลาวเมื่อปี ๑๙๗๕ ในช่วงนั้นเขาเลือกที่จะอยู่ในประเทศลาวเพื่อทำงานเขียนตามความต้องการของตัวเอง เขามีผลงานที่ไดรับการตีพิมพ์เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะงานเรื่องสั้นของเขา ในปี ๑๙๗๗ มีรวมเรื่องสั้นชื่อ งามบ้านเกิดที่เขาเขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นๆ ของประเทศลาว ปี ๑๙๗๘ มีรวมเรื่องสั้นเรื่อง ตะวันขึ้นที่ดอนนาง ปี ๑๙๗๙ มีงานรวมเรื่องสั้นสำหรับเยาวชนชื่อเรื่อง ปลาค่อโลภา และงานรวมเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ปลาช่อนโลภมาก และในปี ๑๙๙๒ เขามีงานรวมเรื่องสั้นที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอีกหนึ่งเล่มคือ แพงแม่ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยในรวมเรื่องสั้นชื่อว่า เมื่อแม่จากไป อุทิน บุนยาวง เสียชีวิตลงแล้วเมื่อปี ๒๐๐๐ รวมเรื่องสั้นล่าสุดของอุทิน บุนยาวง คือ เรารักกันไม่ได้ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกเกด




ไม่มีความคิดเห็น: